วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

วิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นเอก 2545


ปัญหาและเฉลยวิชาวินัยบัญญัติ  นักธรรมชั้นเอก
สอบในสนามหลวง
วันอาทิตย์ ที่  ๒๔  พฤศจิกายน พ.. ๒๕๔๕
 .    . คำว่า ญัตติ  อนุสาวนา  อปโลกนะ อุปสัมปทาเปกขะ ได้แก่อะไร ? จงชี้แจง
        ๑.๒  ภิกษุผู้สามารถสวดกรรมวาจาได้แม่นยำและสละสลวย ต้องพร้อมด้วยคุณสมบัติ
            
อย่างไรบ้าง ?
 ๑.    ๑.๑ ญัตติ ได้แก่คำเผดียงสงฆ์
             อนุสาวนา ได้แก่คำประกาศปรึกษาและตกลงของสงฆ์
             อปโลกนะ ได้แก่การบอกกันในที่ประชุมสงฆ์ ไม่ต้องตั้งญัตติ
                          ไม่ต้องสวดอนุสาวนา
             อุปสัมปทาเปกขะ ได้แก่กุลบุตรผู้มุ่งอุปสมบท ฯ
        ๑.๒ อย่างนี้ คือ
                   ๑) รู้จักประเภทของอักขระ 
                   ๒) รู้จักฐานกรณ์ของอักขระ 
                   ๓) ว่าเป็น ฯ
 ๒.    ๒.๑ ภิกษุผู้นับเข้าในจำนวนสงฆ์ผู้ทำกรรมนั้นๆ ต้องเป็นภิกษุเช่นไร ?
        ๒.๒ เวลาทำสังฆกรรม ภิกษุที่อยู่ในสีมาเดียวกัน นับเข้าในจำนวนสงฆ์ผู้ทำกรรม
             ทั้งหมดใช่หรือไม่ ?  จงอธิบาย
 ๒.    ๒.๑ ต้องเป็นภิกษุปกติ ไม่ถูกสงฆ์ยกเสียจากหมู่ด้วยอุกเขปนียกรรม มีสังวาส
             เสมอด้วยสงฆ์ และเป็นสมานสังวาสของกันและกัน ฯ
        ๒.๒ ไม่ใช่ เพราะภิกษุที่เหลือจากจำนวนผู้ไม่มาเข้ากรรม เป็นผู้ควรให้ฉันทะ สงฆ์
             ทำกรรมเพื่อภิกษุใด ภิกษุนั้นก็ไม่นับเข้าในจำนวนสงฆ์ และไม่ใช่ผู้ควรให้ฉันทะ
             แต่เป็นผู้ควรเข้ากรรมนั้น ฯ
 ๓.    ๓.๑ วิสุงคามสีมา พัทธสีมา  ได้แก่สีมาเช่นไร ?
        ๓.๒ กฐิน เป็นสังฆกรรมอะไร ? การรับกฐิน ตลอดจนถึงกราน ต้องทำในสีมา
             อย่างเดียว หรือทำนอกสีมาก็ได้ ?
 ๓.    ๓.๑ วิสุงคามสีมา ได้แก่เขตที่สงฆ์ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตยกให้เป็น
             แผนกหนึ่งจากบ้าน ฯ  
             พัทธสีมา ได้แก่วิสุงคามสีมานั้นเองอันสงฆ์ผูกแล้ว คือสมมติเป็นสมานสังวาส
             สีมาแล้ว ฯ
        ๓.๒ เป็นญัตติทุติยกรรม ฯ การรับกฐิน การอปโลกน์เพื่อให้ผ้ากฐิน และการกรานกฐิน
             ทำในสีมาหรือนอกสีมาก็ได้ การสวดญัตติทุติยกรรมวาจาให้ผ้ากฐิน ต้องทำในสีมา
             อย่างเดียว ฯ
 ๔.    ๔.๑ กฐินจะเดาะหรือไม่เดาะ กำหนดรู้ได้อย่างไร ?
        ๔.๒ ผ้าที่ทรงห้ามใช้เป็นผ้ากฐินได้แก่ผ้าเช่นไรบ้าง ?
 ๔.    ๔.๑  กฐินเดาะ กำหนดรู้ได้ด้วยอาวาสปลิโพธและจีวรปลิโพธขาด หรือสิ้นเขตจีวรกาลที่
             ขยายออกไปอีก ๔ เดือน กฐินไม่เดาะ กำหนดรู้ได้ด้วยอาวาสปลิโพธหรือ จีวร
             ปลิโพธอย่างใดอย่างหนึ่งยังไม่ขาด และยังอยู่ในเขตจีวรกาลที่ขยายออกไปอีก ๔
             เดือน ฯ
        ๔.๒ เช่นนี้ คือ
                   ๑) ผ้าที่ไม่ได้เป็นสิทธิ เช่น ผ้าที่ขอยืมเขามา
                   ๒) ผ้าที่ได้มาโดยอาการอันมิชอบ คือทำนิมิตได้มา
                   ๓) ผ้าที่ได้มาโดยการพูดเลียบเคียง
                   ๔) ผ้าเป็นนิสสัคคีย์
                   ๕) ผ้าที่ได้มาโดยทางบริสุทธิ์ แต่เก็บไว้ค้างคืน ฯ
 ๕.    ๕.๑ ผู้ที่ถูกห้ามอุปสมบท เพราะทำผิดต่อพระศาสนา ได้แก่คนเช่นไร ?
        ๕.๒  ในเวลาสวดกรรมวาจานั้น กำหนดด้วยสงฆ์นิ่งอยู่จนถึงบาลีคำใด อุปสมบทกรรม
             จึงจะนับว่าเป็นการสำเร็จ ?
 ๕.    ๕.๑ ได้แก่
                   ๑) คนฆ่าพระอรหันต์      
                   ๒) คนทำร้ายภิกษุณี     
                   ๓) คนลักเพศ
                   ๔) ภิกษุไปเข้ารีตเดียรถีย์ 
                   ๕) ภิกษุต้องปาราชิกละเพศไปแล้ว
                   ๖) ภิกษุผู้ทำสังฆเภท                                    
                   ๗) คนทำร้ายพระศาสดาจนถึงห้อพระโลหิต ฯ
        ๕.๒ กำหนดด้วยสงฆ์นิ่งอยู่จนถึงคำว่า โส ภาเสยฺย ที่แปลว่า ท่านผู้นั้นพึงพูดท้ายอนุสาวนาที่ ๓ จึงนับว่าเป็นการสำเร็จ ฯ
 ๖.    ๖.๑ อนุวาทาธิกรณ์ที่เกิดขึ้นแล้วไม่รีบระงับ  มีผลเสียอย่างไร ?
        ๖.๒ ภิกษุผู้ต้องอนุวาทาธิกรณ์ พึงปฏิบัติอย่างไร ?
 ๖.    ๖.๑ มีผลเสีย คือทำให้เสียสีลสามัญญตาและเสียสามัคคี เป็นทางแตก เป็นนานา-
             สังวาส จนถึงเป็นนานานิกาย ฯ
        ๖.๒ พึงปฏิบัติอย่างนี้ คือ
                   ๑) เคารพในผู้พิจารณา
                   ๒) ให้การตามความเป็นจริง
                   ) พึงเชื่อฟังและปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของสงฆ์
                   ) ไม่ขุ่นเคือง ฯ
 .    .  ลักษณะปกปิดอาบัตินั้น พระอรรถกถาจารย์ แสดงไว้กี่ประการ ?  อะไรบ้าง ?
        . ภิกษุผู้เป็นโจทก์ จงใจหาความเท็จใส่ภิกษุอื่น และภิกษุผู้เป็นจำเลย จงใจปกปิด
             ความประพฤติเสียของตนด้วยให้การเท็จ  สงฆ์พึงนิคคหะด้วยกรรมอะไร ?
 ๗.    ๗.๑ แสดงไว้ ๑๐ ประการ จัดเป็น ๕ คู่ คือ
                   ๑) เป็นอาบัติ และรู้ว่าเป็นอาบัติ
                   ๒) เป็นปกตัตตะ และรู้ว่าเป็นปกตัตตะ
                   ๓) ไม่มีอันตราย และรู้ว่าไม่มีอันตราย
                   ๔) อาจอยู่ และรู้ว่าอาจอยู่
                   ๕) ใคร่จะปิด และปิดไว้ ฯ
        ๗.๒ สงฆ์พึงทำ ตัชชนียกรรม แก่ภิกษุผู้เป็นโจทก์  และตัสสปาปิยสิกากรรม แก่
             ภิกษุผู้เป็นจำเลย ฯ
พระราชบัญญัติคณะสงฆ์  ..  ๒๕๐๕,  (ฉบับที่  )  ..  ๒๕๓๕
 ๘.    ๘.๑ ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ใครเป็นผู้สถาปนาสมเด็จพระสังฆราช ?
             ตอบโดยอ้างมาตรา
        ๘.๒ คำว่า คณะสงฆ์ และคณะสงฆ์อื่น แห่งมาตรา ๕ ทวิ ในพระราชบัญญัติ
             คณะสงฆ์หมายถึงใคร ?
 ๘.    ๘.๑ มาตรา ๗  พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชองค์หนึ่ง ฯ
        ๘.๒ คณะสงฆ์ หมายถึงบรรดาพระภิกษุที่ได้รับบรรพชาอุปสมบทจากพระ
             อุปัชฌาย์ ตามพระราชบัญญัตินี้ หรือตามกฎหมายที่ใช้บังคับก่อนพระราช-
             บัญญัตินี้ ไม่ว่าจะปฏิบัติศาสนกิจในหรือนอกราชอาณาจักร ฯ
             คณะสงฆ์อื่น  หมายถึงบรรดาบรรพชิตจีนนิกายหรืออนัมนิกาย ฯ
 ๙.    ๙.๑  คณะสงฆ์จะตั้งเป็นอิสระ ไม่อยู่ภายใต้การปกครองของมหาเถรสมาคมได้หรือไม่?
             จงอ้างมาตรา
        ๙.๒ จงให้ความหมายของคำต่อไปนี้
ก)   ที่วัด             
ข) ที่ธรณีสงฆ์      
ค) ที่กัลปนา
 ๙.    ๙.๑  ไม่ได้ ต้องปฏิบัติตามมาตรา ๒๐ ความว่า คณะสงฆ์ต้องอยู่ภายใต้การปกครอง
            
ของมหาเถรสมาคม ฯ
        ๙.๒       ก) ที่วัด         คือที่ซึ่งตั้งวัดตลอดจนเขตของวัดนั้น
                   ข) ที่ธรณีสงฆ์  คือที่ซึ่งเป็นสมบัติของวัด
                   ค) ที่กัลปนา    คือที่ซึ่งมีผู้อุทิศแต่ผลประโยชน์ให้วัดหรือพระศาสนา ฯ
๑๐. ๑๐.๑ ผู้มิได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์ หรือถูกถอดถอนจากความเป็นพระอุปัชฌาย์
             กระทำการบรรพชาอุปสมบทแก่บุคคลอื่น ต้องระวางโทษอย่างไร ?
      ๑๐.๒  ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ผู้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการมหาเถรสมาคมคือใคร?
๑๐. ๑๐.๑ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี ฯ
      ๑๐.๒ คืออธิบดีกรมการศาสนาโดยตำแหน่ง  ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ มาตรา ๑๓ ความว่า ให้อธิบดีกรมการศาสนาเป็นเลขาธิการมหาเถรสมาคมโดยตำแหน่ง ฯ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น