ปัญหาและเฉลยวิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันจันทร์ ที่
๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๔
๑.
|
๑.๑
|
พระวินัย แบ่งออกเป็นกี่อย่าง ? อะไรบ้าง
?
|
|
๑.๒
|
จะปฏิบัติพระวินัยอย่างไร
จึงจะเรียกได้ว่า พอดีพองาม ?
|
๑.
|
๑.๑
|
แบ่งออกเป็น ๒ อย่างคือ
อาทิพรหมจริยกาสิกขาบท
๑ อภิสมาจาร ๑
|
|
๑.๒
|
ต้องปฏิบัติพระวินัยโดยสายกลาง คือไม่ถือเคร่งครัดอย่างงมงาย
จนเป็นเหตุต้องทำตนให้เป็นคนลำบาก เพราะเหตุธรรมเนียมเล็ก ๆ น้อย ๆ อันขัดต่อกาลเทศะ และไม่สะเพร่ามักง่าย ละเลยต่อ ธรรมเนียมของภิกษุ จนถึงทำตนให้เป็นคนเลวทราม จึงจะเรียกได้ว่า พอดีพองาม |
๒.
|
๒.๑
|
ภิกษุผู้ไม่เอื้อเฟื้อในอภิสมาจารมีโทษอย่างไรบ้าง ?
|
|
๒.๒
|
ภิกษุเปลือยกายด้วยอาการอย่างไรบ้าง ที่เป็นเหตุให้ต้องอาบัติและ
ไม่ต้องอาบัติ ? |
๒.
|
๒.๑
|
มีโทษปรับอาบัติถุลลัจจัยเป็นอย่างสูง
แต่มีน้อย
ส่วนมากปรับอาบัติทุกกฏเป็นพื้น
|
|
๒.๒
|
ถ้าเปลือยกายเป็นวัตรอย่างเดียรถีย์
ต้องอาบัติถุลลัจจัย
ถ้าเปลือยกายทำกิจแก่กัน คือไหว้ รับไหว้ ทำบริกรรม ให้ของ รับของ
เปลือยกายในเวลาฉันและดื่ม
ต้องอาบัติทุกกฏ
แต่ในเรือนไฟและในน้ำ ไม่ต้องอาบัติ
|
๓.
|
๓.๑
|
พระพุทธองค์ทรงอนุญาตผ้าสำหรับทำจีวรไว้กี่ชนิด ? อะไรบ้าง
?
|
|
๓.๒
|
วัสสิกสาฎกได้แก่ผ้าเช่นไร ? มีจำกัดประมาณ
กว้าง ยาว ไว้อย่างไร ?
|
๓.
|
๓.๑
|
ทรงอนุญาตไว้ ๖ ชนิดคือ
๑) โขมะ
ผ้าทำด้วยเปลือกไม้
๒) กัปปาสิกะ ผ้าทำด้วยฝ้าย
๓) โกเสยยะ ผ้าทำด้วยไหม
๔) กัมพละ ผ้าทำด้วยขนสัตว์
๕) สาณะ
ผ้าทำด้วยเปลือกป่าน
๖) ภังคะ ผ้าทำด้วยของ ๕ อย่างนั้น แต่อย่างใดอย่างหนึ่งปนกัน
|
|
๓.๒
|
ได้แก่ผ้าอาบน้ำฝน มีจำกัดประมาณยาว ๖ คืบ
กว้าง ๒ คืบครึ่ง แห่งคืบพระสุคต
|
๔.
|
๔.๑
|
อาจารย์ทางพระวินัยตามนัยอรรถกถามีเท่าไร ? อะไรบ้าง
?
|
|
๔.๒
|
อาจารย์เหล่านั้นทำหน้าที่ต่างกันอย่างไร ?
|
๔.
|
๔.๑
|
มี ๔ คือ
ปัพพชาจารย์ ๑
อุปสัมปทาจารย์ ๑
นิสสยาจารย์ ๑
อุทเทสาจารย์ ๑
|
|
๔.๒
|
ทำหน้าที่ต่างกัน คือ
ปัพพชาจารย์ ทำหน้าที่ให้สรณคมน์เมื่อบรรพชา
อุปสัมปทาจารย์ ทำหน้าที่สวดกรรมวาจาเมื่ออุปสมบท
นิสสยาจารย์ ทำหน้าที่ให้นิสัย
อุทเทสาจารย์ ทำหน้าที่สอนธรรม
|
๕.
|
๕.๑
|
คำว่า ถือนิสัย หมายความว่าอะไร ?
|
|
๕.๒
|
จงเขียนคำขอนิสัยอาจารย์พร้อมทั้งคำแปล
|
๕.
|
๕.๑
|
หมายความว่า
ยอมตนอยู่ในความปกครองของพระเถระผู้มีคุณสมบัติควรปกครองตนได้
ยอมตนให้ท่านปกครองพึ่งพิงพำนักอาศัยท่าน
|
|
๕.๒
|
คำขอนิสัยอาจารย์ว่าดังนี้ "
อาจริโย เม ภนฺเต
โหหิ , อายสฺมโต
นิสฺสาย วจฺฉามิ " ซึ่งแปลว่า "
ขอท่านจงเป็นอาจารย์ของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าจักอยู่อาศัยท่าน "
|
๖.
|
๖.๑
|
ภิกษุเช่นไร ชื่อว่า นวกะ
มัชฌิมะ เถระ ?
|
|
๖.๒
|
วัตรอันภิกษุควรประพฤติในคำว่า วตฺตสมฺปนฺโน นั้นคืออะไรบ้าง ?
|
๖.
|
๖.๑
|
ภิกษุมีพรรษาไม่ถึง ๕ เรียกว่า
นวกะ
ภิกษุมีพรรษาตั้งแต่ ๕ ขึ้นไป
แต่ยังไม่ถึง ๑๐ เรียกว่า
มัชฌิมะ
ภิกษุมีพรรษาตั้งแต่ ๑๐ ขึ้นไป
เรียกว่า เถระ
|
|
๖.๒
|
คือ ๑) กิจวัตร
ว่าด้วยกิจอันควรทำ
๒) จริยาวัตร ว่าด้วยมารยาทอันควรประพฤติ
๓) วิธิวัตร ว่าด้วยแบบอย่าง
|
๗.
|
๗.๑
|
ภิกษุผู้อยู่จำพรรษาไม่ขาดย่อมได้อานิสงส์เท่าไร ? อะไรบ้าง
?
|
|
๗.๒
|
ภิกษุพึงประชุมกันสวดพระปาฏิโมกข์ในวันเช่นไรบ้าง ?
|
๗.
|
๗.๑
|
ได้อานิสงส์ ๕ คือ
๑) เที่ยวไปโดยไม่ต้องบอกลาตามสิกขาบทที่
๖ แห่งอเจลกวรรค
๒) เที่ยวจาริกไปไม่ต้องนำไตรจีวรไปครบสำรับ
๓) ฉันคณโภชน์ และปรัมปรโภชน์ได้
๔) เก็บอติเรกจีวรไว้ได้ตามปรารถนา
๕) จีวรที่เกิดขึ้นในที่นั้น จักเป็นของได้แก่พวกเธอ
|
|
๗.๒
|
ในวันพระจันทร์เพ็ญ (ดิถีขึ้น ๑๕ ค่ำ) วันพระจันทร์ดับ (ดิถีแรม ๑๕ ค่ำ หรือ ๑๔ ค่ำ) และวันสามัคคี
|
๘.
|
๘.๑
|
ภิกษุจำพรรษา ๑ รูป ๒, ๓, ๔, ๕ รูป
เมื่อถึงวันปวารณาพึงปฏิบัติอย่างไร ?
|
|
๘.๒
|
เหตุที่ทำให้เลื่อนปวารณาได้มีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง
?
|
๘.
|
๘.๑
|
พึงปฏิบัติอย่างนี้ ภิกษุ ๑
รูป พึงอธิษฐานเป็นการบุคคล, ภิกษุ ๒, ๓, ๔ รูป พึงทำคณะปวารณา, ภิกษุ ๕ รูปขึ้นไปพึงทำสังฆปวารณา
|
|
๘.๒
|
มี ๒ อย่างคือ
๑) ภิกษุจะเข้ามาสมทบปวารณาด้วย
ด้วยหมายจะคัดค้าน
ผู้นั้นผู้นี้ ทำให้เกิดอธิกรณ์ขึ้น
๒) อยู่ด้วยกันเป็นผาสุก ปวารณาแล้วต่างจะจากกันจาริกไปเสีย
|
๙.
|
๙.๑
|
การทำนอกรีตนอกรอยของสมณะ เรียกว่าอะไร ? มีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ?
|
|
๙.๒
|
จงบอกความหมายของแต่ละอย่างด้วย
|
๙.
|
๙.๑
|
เรียกว่า อุปปถกิริยา, มี ๓
อย่างคือ
อนาจาร ๑ ปาปสมาจาร ๑ อเนสนา ๑
|
|
๙.๒
|
ความประพฤติไม่ดีไม่งาม และเล่นมีประการต่าง ๆ จัดเข้าในอนาจาร
ความประพฤติเลวทราม จัดเข้าในปาปสมาจาร
ความเลี้ยงชีพไม่สมควร จัดเข้าในอเนสนา
|
๑๐.
|
๑๐.๑
|
ลหุภัณฑ์ และครุภัณฑ์ที่เป็นของสงฆ์ คือของเช่นไร ? อย่างไหนแจกกันได้
และไม่ได้ ?
|
|
๑๐.๒
|
วินัยกรรม กับสังฆกรรม ต่างกันอย่างไร ?
|
๑๐.
|
๑๐.๑
|
ลหุภัณฑ์ คือของเบา มีบิณฑบาต เภสัช กับบริขารที่จะใช้สำหรับตัว คือบาตร จีวร ประคดเอว เข็ม
มีดพับ มีดโกน เป็นของที่แจกกันได้
ครุภัณฑ์ คือของหนัก ไม่ใช่ของสำหรับใช้สิ้นไป เป็นของควรรักษาไว้ได้นาน
เป็นเครื่องใช้ในเสนาสนะ หรือเป็นตัวเสนาสนะเอง ตลอดถึงกุฎีและที่ดิน
เป็นของที่แจกกันไม่ได้
|
|
๑๐.๒
|
ต่างกันอย่างนี้ กรรมที่ภิกษุแต่ละรูปหรือหลายรูปจะพึงกระทำตามพระวินัย
เช่น การแสดงอาบัติ อธิษฐาน วิกัป เป็นต้น เรียกว่าวินัยกรรม
กรรมที่ภิกษุครบองค์สงฆ์จตุวรรคเป็นต้น พึงทำเป็นการสงฆ์ เช่น
อปโลกนกรรม ญัตติกรรม เป็นต้น เรียกว่าสังฆกรรม |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น