วันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

วิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นตรี 2545

ปัญหาและเฉลยวิชาวินัยบัญญัติ  นักธรรมชั้นตรี
สอบในสนามหลวง
วันอาทิตย์ ที่  ๒๔  พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๕
 ๑.    ๑.๑ พระวินัย คืออะไร ?
        ๑.๒ สิกขา ๓  เมื่อศึกษาแล้วจะได้ประโยชน์อย่างไร ?
 ๑.    ๑.๑ คือพระพุทธบัญญัติและอภิสมาจาร ฯ
        ๑.๒ ย่อมได้ประโยชน์ดังนี้ ศึกษาเรื่องศีล ทำให้เป็นผู้มีกาย วาจาเรียบร้อย ศึกษา
             เรื่องสมาธิทำให้ใจสงบมั่นคง ไม่ฟุ้งซ่าน ศึกษาเรื่องปัญญา ทำให้รอบรู้ในกอง
             สังขาร ฯ
 ๒.    ๒.๑ สิกขากับสิกขาบทต่างกันอย่างไร ?
        ๒.๒ สิกขาบทที่มาในพระปาฏิโมกข์มีเท่าไร อะไรบ้าง ?
 ๒.    ๒.๑ สิกขา  คือข้อที่ภิกษุต้องศึกษา
             สิกขาบท  คือพระบัญญัติมาตราหนึ่งๆ เป็นสิกขาบทอันหนึ่งๆ ฯ
        ๒.๒ มี ๒๒๗ ฯ  
             คือปาราชิก ๔  สังฆาทิเสส ๑๓  อนิยต ๒  นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐
             ปาจิตตีย์ ๙๒  ปาฏิเทสนียะ ๔  เสขิยะ ๗๕  อธิกรณสมถะ ๗
             รวมเป็น ๒๒๗ ฯ
 ๓.    ๓.๑ คำต่อไปนี้มีความหมายอย่างไร ?
                   ก) อาทิกัมมิกะ                                                  
                   ข) อเตกิจฉา
        ๓.๒ อาการที่ภิกษุจะต้องอาบัติมีเท่าไร อะไรบ้าง ?
 ๓.    ๓.๑       ก) ภิกษุผู้ก่อเหตุให้ทรงบัญญัติสิกขาบทขึ้น ฯ
                   ข) อาบัติที่แก้ไขไม่ได้ ฯ
        ๓.๒ มี ๖ อย่าง คือ
                   ๑. ต้องด้วยไม่ละอาย
                   ๒. ต้องด้วยไม่รู้ว่า สิ่งนี้จะเป็นอาบัติ
                   ๓. ต้องด้วยสงสัยแล้วขืนทำลง
                   ๔. ต้องด้วยสำคัญว่าควรในของที่ไม่ควร
                   ๕. ต้องด้วยสำคัญว่าไม่ควรในของที่ควร
                   ๖. ต้องด้วยลืมสติ ฯ
 ๔.    ๔.๑ คำว่า "ไถยจิต" หมายถึงอะไร ?
        ๔.๒ ในอทินนาทานสิกขาบท กำหนดราคาทรัพย์เป็นวัตถุแห่งอาบัติไว้อย่างไรบ้าง ?
 ๔.    ๔.๑ หมายถึงจิตคิดจะลัก คือจิตคิดถือเอาของที่เจ้าของไม่ให้ด้วยอาการแห่งขโมย ฯ
        ๔.๒ กำหนดไว้อย่างนี้
                 ทรัพย์มีราคาตั้งแต่ ๕ มาสก ขึ้นไป เป็นวัตถุแห่งอาบัติปาราชิก
                 ทรัพย์มีราคาต่ำกว่า ๕ มาสก แต่สูงกว่า ๑ มาสก เป็นวัตถุแห่งอาบัติถุลลัจจัย
                 ทรัพย์มีราคาตั้งแต่ ๑ มาสก ลงไป เป็นวัตถุแห่งอาบัติทุกกฏ ฯ
 ๕.    ๕.๑ สังหาริมทรัพย์ และอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ทรัพย์เช่นไร ?
        ๕.๒ การถือเอาทรัพย์ทั้ง ๒ อย่างนั้น   กำหนดว่าถึงที่สุดไว้อย่างไร ?
 ๕.    ๕.๑ สังหาริมทรัพย์ ได้แก่ทรัพย์หรือสิ่งของที่เคลื่อนที่ได้ ทั้งที่มีวิญญาณและไม่มี
             วิญญาณ เช่นสัตว์และเงินทองเป็นต้น ฯ ส่วนอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ทรัพย์
             หรือสิ่งของที่เคลื่อนที่ไม่ได้ โดยตรงได้แก่ที่ดิน โดยอ้อมนับของที่ติดเนื่องอยู่
             กับที่นั้นด้วย เช่น ต้นไม้และเรือนเป็นต้น ฯ
        ๕.๒ สังหาริมทรัพย์  กำหนดว่าถึงที่สุดด้วยทำให้เคลื่อนจากฐาน ฯ   
             อสังหาริมทรัพย์ กำหนดว่าถึงที่สุดด้วยขาดกรรมสิทธิ์แห่งเจ้าของ ฯ
 ๖.    ๖.๑ ปาราชิก ๔   สิกขาบทไหนที่ภิกษุใช้ให้เขาทำก็ต้องอาบัติถึงที่สุด ?
        ๖.๒ สังฆาทิเสส ๑๓  สิกขาบทไหนบ้างต้องอาบัติตั้งแต่แรกทำ มีชื่อเรียกอย่างไร ?
 ๖.    ๖.๑ สิกขาบทที่ ๒ และสิกขาบทที่ ๓ ฯ
        ๖.๒ สิกขาบทที่ ๑ ถึงที่ ๙ ฯ    เรียกว่า ปฐมาปัตติกะ ฯ
 ๗.    ๗.๑ ภิกษุมีความกำหนัด จับต้องกะเทย บุรุษ และสัตว์ดิรัจฉานตัวผู้ เป็นอาบัติ
             อะไร ?
        ๗.๒ อาบัติไม่มีมูล กำหนดโดยอาการอย่างไร ? โจทด้วยอาบัติไม่มีมูลเป็นอาบัติ
             อะไร ?
 ๗.    ๗.๑ จับต้อง กะเทย เป็นอาบัติถุลลัจจัย  บุรุษ เป็นอาบัติทุกกฏ สัตว์ดิรัจฉานตัวผู้
             เป็นอาบัติทุกกฏ ฯ
        ๗.๒ กำหนดโดยอาการ ๓ คือ ไม่ได้เห็นเอง ๑  ไม่ได้ยิน ๑  ไม่ได้รังเกียจ ๑  ว่า
             ภิกษุนั้นต้องอาบัติชื่อนั้น ฯ  โจทด้วยอาบัติปาราชิกต้องสังฆาทิเสส โจทด้วย
             อาบัติสังฆาทิเสสต้องปาจิตตีย์ โจทด้วยอาบัติอื่นจากนี้ต้องปาจิตตีย์
             ในมุสาวาทสิกขาบท ฯ
 ๘.    ๘.๑ ผ้าจีวรที่ทรงอนุญาตให้ใช้ได้ทำด้วยวัตถุกี่ชนิด อะไรบ้าง ?
        ๘.๒ จีวร ผ้านิสีทนะ อังสะ ผ้าเช็ดหน้า ย่ามผ้า เมื่อจะใช้สอย อย่างไหนควรพินทุ
             อย่างไหนไม่ควร เพราะเหตุใด ?
 ๘.    ๘.๑ ๖ ชนิด คือ
                   ๑. ทำด้วยเปลือกไม้ เช่น ผ้าลินิน
                   ๒. ทำด้วยฝ้าย คือ ผ้าสามัญ
                   ๓. ทำด้วยไหม คือ ผ้าแพร
                   ๔. ทำด้วยขนสัตว์ เช่น ผ้าสักหลาด
                   ๕. ทำด้วยเปลือกไม้ เช่น ผ้าป่าน (สาณะ)
                   . ทำด้วยสัมภาระเจือกัน ฯ
        . จีวร และอังสะ  ควรพินทุ  เพราะใช้ห่ม
             ผ้านิสีทนะ ผ้าเช็ดหน้า และย่ามผ้า ไม่ต้องพินทุ เพราะไม่ได้ใช้นุ่งห่ม ฯ
 .    .  ภิกษุพูดปดต้องอาบัตินั้นทราบแล้ว แต่ถ้าพูดเรื่องจริง จะต้องอาบัติอะไรหรือไม่ ?
        . ปฏิสสวะทุกกฏ คืออะไร ?
 .    . ต้องอาบัติเหมือนกันคือ บอกอุตตริมนุสสธรรมที่มีจริงแก่อนุปสัมบัน ต้อง
             อาบัติปาจิตตีย์ ตามสิกขาบทที่ ๘ แห่งมุสาวาทวรรค บอกอาบัติชั่วหยาบของ
             ภิกษุแก่อนุปสัมบัน เว้นไว้แต่ได้รับสมมติ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ตามสิกขาบทที่
             ๙ แห่งมุสาวาทวรรค ฯ
        . คืออาบัติทุกกฏที่เกิดจากการรับคำด้วยจิตบริสุทธิ์ แต่ภายหลังไม่ได้ทำตามคำ
             ที่รับปากไว้ ฯ
๑๐. ๑๐. การนุ่งเป็นปริมณฑล คือการนุ่งอย่างไร ?
      ๑๐. เสขิยวัตรว่าด้วยการรับบิณฑบาตมีหลายข้อ  จงระบุมาเพียง ๒ ข้อ
๑๐. ๑๐. คือนุ่งเบื้องบนปิดสะดือ แต่ไม่ถึงกระโจมอก เบื้องล่างปิดหัวเข่าทั้ง ๒ ลงมา
             เพียงครึ่งแข้ง ไม่ถึงกรอมข้อเท้า ฯ
      ๑๐.๒ (เลือกตอบเพียง ๒ ข้อ)
                   ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักรับบิณฑบาตโดยเคารพ
                   ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เมื่อรับบิณฑบาต เราจักแลดูแต่ในบาตร
                   ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักรับแกงพอสมควรแก่ข้าวสุก
                   ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักรับบิณฑบาตแต่พอเสมอขอบปากบาตร ฯ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น