ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นเอก
สอบในสนามหลวง
พ.ศ. ๒๕๔๗
๑. กิเลสกามและวัตถุกาม
ได้แก่อะไร ? อย่างไหนจัดเป็นมารและเป็นบ่วงแห่งมาร
?
เพราะเหตุไร ?
เพราะเหตุไร ?
๑. กิเลสกาม ได้แก่
เจตสิกอันเศร้าหมอง ชักให้ใคร่ ให้รัก ให้อยากได้ กล่าวคือตัณหา
ความทะยานอยาก ราคะ ความกำหนัด อรติ ความขึ้งเคียด เป็นต้น จัดเป็นมาร
เพราะเป็นโทษล้างผลาญคุณความดีและทำให้เสียคน ฯ
ความทะยานอยาก ราคะ ความกำหนัด อรติ ความขึ้งเคียด เป็นต้น จัดเป็นมาร
เพราะเป็นโทษล้างผลาญคุณความดีและทำให้เสียคน ฯ
วัตถุกาม ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันเป็นของน่าชอบใจ จัดเป็นบ่วงแห่ง
มาร เพราะเป็นอารมณ์ผูกใจให้ติดแห่งมาร ฯ
มาร เพราะเป็นอารมณ์ผูกใจให้ติดแห่งมาร ฯ
๒. พระบรมศาสดาทรงแสดงอานิสงส์แห่งวิปัสสนาไว้ในอนัตตลักขณสูตรอย่างไร
?
๒. ทรงแสดงไว้ว่า เอวํ ปสฺสํ ภิกฺขเว สุตวา อริยสาวโก เป็นต้น ความว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เมื่อเห็นอย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่าย ย่อมฟอกจิต
ให้หมดจด เพราะการฟอกจิตให้หมดจดได้ จิตนั้นก็พ้นจากอาสวะทั้งปวง เมื่อจิต
พ้นพิเศษแล้ว ก็มีญาณหยั่งรู้ว่า พ้นแล้ว และเธอรู้ประจักษ์ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว
พรหมจรรย์คือกิจพระศาสนาได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นที่จะต้องทำเช่นนี้ไม่มีอีก ฯ
ทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เมื่อเห็นอย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่าย ย่อมฟอกจิต
ให้หมดจด เพราะการฟอกจิตให้หมดจดได้ จิตนั้นก็พ้นจากอาสวะทั้งปวง เมื่อจิต
พ้นพิเศษแล้ว ก็มีญาณหยั่งรู้ว่า พ้นแล้ว และเธอรู้ประจักษ์ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว
พรหมจรรย์คือกิจพระศาสนาได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นที่จะต้องทำเช่นนี้ไม่มีอีก ฯ
๓. ไตรลักษณ์ ที่ว่าเห็นได้ยากนั้น
เพราะอะไรปิดบังไว้ ? ผู้พิจารณาเห็นอนิจจตา
ความเป็นของไม่เที่ยง ย่อมได้รับอานิสงส์อย่างไร ?
ความเป็นของไม่เที่ยง ย่อมได้รับอานิสงส์อย่างไร ?
๓. อนิจจตา มีสันตติ ความสืบต่อแห่งนามรูป
ปิดบังไว้ ทุกขตา มีอิริยาบถ ความผลัด
เปลี่ยนอิริยาบถ ปิดบังไว้ อนัตตตา มีฆนสัญญา ความสำคัญเห็นเป็นก้อน ปิดบังไว้ ฯ
เปลี่ยนอิริยาบถ ปิดบังไว้ อนัตตตา มีฆนสัญญา ความสำคัญเห็นเป็นก้อน ปิดบังไว้ ฯ
ย่อมได้รับอานิสงส์
คือเพิกถอนสันตติได้ ทำให้เห็นความเกิดขึ้นและความดับไป
ความไม่เที่ยงแห่งสังขารทั้งหลายด้วยปัญญาอันชอบ ย่อมเบื่อหน่ายในสังขารอันเป็น
ทุกข์ ดำเนินไปในหนทางแห่งความบริสุทธิ์ ฯ
ความไม่เที่ยงแห่งสังขารทั้งหลายด้วยปัญญาอันชอบ ย่อมเบื่อหน่ายในสังขารอันเป็น
ทุกข์ ดำเนินไปในหนทางแห่งความบริสุทธิ์ ฯ
๔. ความเกิด
ความแก่ และความตาย จัดเข้าในทุกข์หมวดไหน ? โดยรวบยอด ทุกข์ที่
แสดงในธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ได้แก่ทุกข์เช่นไร ?
แสดงในธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ได้แก่ทุกข์เช่นไร ?
๔. จัดเข้าในสภาวทุกข์ คือ ทุกข์ประจำสังขาร
ฯ
ได้แก่ อุปาทานขันธ์ ๕ ฯ
๕. จริตของคนในโลกนี้มีกี่ประเภท
? อะไรบ้าง ? คนสูงอายุมีความกังวลนอนไม่หลับ
เพราะคิดห่วงลูกหลานเป็นต้น จัดเป็นคนมีจริตอะไร ? กัมมัฏฐานข้อใดเป็นที่สบาย
แก่คนจริตนั้น ?
เพราะคิดห่วงลูกหลานเป็นต้น จัดเป็นคนมีจริตอะไร ? กัมมัฏฐานข้อใดเป็นที่สบาย
แก่คนจริตนั้น ?
๕. มี ๖ ประเภท ฯ คือ
ราคะจริต ๑ โทสะจริต ๑ โมหะจริต ๑ วิตกจริต ๑
สัทธาจริต ๑ พุทธิจริต ๑ ฯ มีวิตกจริต ฯ ข้ออานาปานสติ หรือ กสิณ ฯ
สัทธาจริต ๑ พุทธิจริต ๑ ฯ มีวิตกจริต ฯ ข้ออานาปานสติ หรือ กสิณ ฯ
๖. ในอนุสสติ
๑๐ ข้อว่า มรณัสสติ ไม่ใช้ว่า มรณานุสสติ
เพราะเหตุไร ?
๖. ที่ไม่ใช้อย่างนั้น
ก็เพราะท่านสอนให้ผู้พิจารณาเห็นปรากฏชัดเป็นปัจจุบันธรรม จะได้
เกิดความไม่ประมาท เป็นผู้แกล้วกล้าไม่ย่อท้อต่อความตาย หากจะไปเหนี่ยวรั้งเอา
ความตายที่ล่วงมาแล้วยกขึ้นพิจารณา ในบางขณะอาจเกิดความกลัวตายขึ้นก็ได้ ฯ
เกิดความไม่ประมาท เป็นผู้แกล้วกล้าไม่ย่อท้อต่อความตาย หากจะไปเหนี่ยวรั้งเอา
ความตายที่ล่วงมาแล้วยกขึ้นพิจารณา ในบางขณะอาจเกิดความกลัวตายขึ้นก็ได้ ฯ
๗. พระพุทธคุณบทว่า
สุคโต นั้น เป็นพระคุณส่วนอัตตสมบัติ และส่วนปรหิตปฏิบัติ
อย่างไร ? จงอธิบาย
อย่างไร ? จงอธิบาย
๗. พระคุณส่วนอัตตสมบัติ
คือ เสด็จออกผนวชไม่ย่อท้อ เสด็จดำเนินไปตาม
อัฏฐังคิกมรรคเป็นมัชฌิมาปฏิปทา มิได้ทรงกลับคืนมาสู่อำนาจกิเลสที่พระองค์
ทรงละได้แล้ว จนบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เสด็จไปในที่ใด ก็ทรงไม่มี
อันตรายใดจักเกิดแก่พระองค์ได้ เสด็จไปกลับได้โดยสวัสดี ฯ
อัฏฐังคิกมรรคเป็นมัชฌิมาปฏิปทา มิได้ทรงกลับคืนมาสู่อำนาจกิเลสที่พระองค์
ทรงละได้แล้ว จนบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เสด็จไปในที่ใด ก็ทรงไม่มี
อันตรายใดจักเกิดแก่พระองค์ได้ เสด็จไปกลับได้โดยสวัสดี ฯ
พระคุณส่วนปรหิตปฏิบัติ คือ
เสด็จจาริกไปในสถานที่ต่างๆ เทศนาโปรดมหาชน
ให้ได้ดวงตาเห็นธรรม ให้ได้รับประโยชน์ทั้งปัจจุบัน อนาคต และประโยชน์อย่างยิ่ง
คือพระนิพพาน อนึ่ง ทรงมีพระวาจาดี คือทรงกล่าวแต่คำที่จริงที่แท้ ประกอบด้วย
ประโยชน์แก่บุคคลที่ควรกล่าว เสด็จไประงับอันตรายด้วยความอนุเคราะห์เกื้อกูล
แก่ปวงชน แม้เสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว ทรงฝากรอยจารึก คือพระคุณความดี
ในโลก ดุจฝนตกลงยังพืชให้เผล็ดผล เป็นประโยชน์แก่คนและสัตว์ผู้พึ่งแผ่นดิน ฯ
ให้ได้ดวงตาเห็นธรรม ให้ได้รับประโยชน์ทั้งปัจจุบัน อนาคต และประโยชน์อย่างยิ่ง
คือพระนิพพาน อนึ่ง ทรงมีพระวาจาดี คือทรงกล่าวแต่คำที่จริงที่แท้ ประกอบด้วย
ประโยชน์แก่บุคคลที่ควรกล่าว เสด็จไประงับอันตรายด้วยความอนุเคราะห์เกื้อกูล
แก่ปวงชน แม้เสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว ทรงฝากรอยจารึก คือพระคุณความดี
ในโลก ดุจฝนตกลงยังพืชให้เผล็ดผล เป็นประโยชน์แก่คนและสัตว์ผู้พึ่งแผ่นดิน ฯ
๘. กิจ เหตุ
และผลของวิปัสสนา ได้แก่อะไร ?
๘. กิจ
ได้แก่ การกำจัดความมืดคือโมหะ
อันปิดบังปัญญาไว้ ไม่ให้เห็นตามความเป็นจริง
เหตุ ได้แก่ การที่จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ ไม่ฟุ้งซ่าน
เหตุ ได้แก่ การที่จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ ไม่ฟุ้งซ่าน
ผล ได้แก่ การเห็นสังขารตามความเป็นจริง ฯ
๙. วิปัลลาสข้อว่า “
วิปัลลาสในของที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข ” จะถอนได้ด้วยสัญญาอะไร
ในสัญญา ๑๐ ? ใจความว่าอย่างไร ?
ในสัญญา ๑๐ ? ใจความว่าอย่างไร ?
๙. จะถอนได้ด้วยอาทีนวสัญญา ฯ
ใจความว่า
ภิกษุย่อมพิจารณาอย่างนี้ว่า กายอันนี้แล มีทุกข์มาก มีโทษมาก
เหล่าอาพาธต่างๆ ย่อมเกิดขึ้นในกายนี้ ฯ
เหล่าอาพาธต่างๆ ย่อมเกิดขึ้นในกายนี้ ฯ
๑๐. ในมหาสติปัฏฐานสูตร
สติปัฏฐาน ๔ มีชื่อเรียกอีกอย่างว่ากระไร ? สติปัฏฐาน ๔ นั้น
มีอานิสงส์อย่างไรบ้าง ?
มีอานิสงส์อย่างไรบ้าง ?
๑๐. เอกายนมรรค
ฯ
มีอานิสงส์ ๕ ประการ คือ
๑. เพื่อความบริสุทธิ์แห่งสัตว์ทั้งหลาย
๒. เพื่อความข้ามพ้นโสกะและปริเทวะ
๓. เพื่อความดับสูญแห่งทุกข์และโทมนัส
๔. เพื่อบรรลุธรรมที่ควรรู้
๕. เพื่อการทำให้แจ้งพระนิพพาน ฯ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น