ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
พ.ศ. ๒๕๔๗
๑. วิมุตติ คืออะไร ? ตทังควิมุตติ มีอธิบายอย่างไร ?
๑. คือ
ความทำจิตใจให้หลุดพ้นจากกิเลสาสวะ ฯ
มีอธิบายว่า ความพ้นจากกิเลสได้ชั่วคราว
เช่นเกิดเหตุเป็นที่ตั้งแห่งสังเวชขึ้น
หายกำหนัดในกาม เกิดเมตตาขึ้น หายโกรธ แต่ความกำหนัดและความโกรธนั้น
ไม่หายทีเดียว ทำในใจถึงอารมณ์งาม ความกำหนัดกลับเกิดขึ้นอีก ทำในใจถึงวัตถุ
แห่งอาฆาต ความโกรธกลับเกิดขึ้นอีก อย่างนี้จัดเป็นตทังควิมุตติ ฯ
หายกำหนัดในกาม เกิดเมตตาขึ้น หายโกรธ แต่ความกำหนัดและความโกรธนั้น
ไม่หายทีเดียว ทำในใจถึงอารมณ์งาม ความกำหนัดกลับเกิดขึ้นอีก ทำในใจถึงวัตถุ
แห่งอาฆาต ความโกรธกลับเกิดขึ้นอีก อย่างนี้จัดเป็นตทังควิมุตติ ฯ
๒. สังขารทั้งหลายไม่เป็นอนัตตาหรือ
เพราะเหตุไรในธรรมนิยามจึงใช้คำว่า ธรรมทั้งหลาย
เป็นอนัตตา ? จงอธิบาย
เป็นอนัตตา ? จงอธิบาย
๒. สังขารทั้งหลายก็เป็นอนัตตา แต่ที่ใช้คำว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา นั้น เพราะ
ธรรมนั้นหมายเอาธรรมคือสังขตธรรมและอสังขตธรรม สังขตธรรมได้แก่สังขารนั่นเอง
อสังขตธรรมได้แก่วิสังขารคือพระนิพพาน ฯ
ธรรมนั้นหมายเอาธรรมคือสังขตธรรมและอสังขตธรรม สังขตธรรมได้แก่สังขารนั่นเอง
อสังขตธรรมได้แก่วิสังขารคือพระนิพพาน ฯ
๓. ความรู้ชั้นวิปัสสนาภาวนา
หมายถึงความรู้อย่างไร ?
๓. หมายถึง
ความรู้เท่าทันสภาวธรรมตามความเป็นจริง เห็นอาการแห่งสภาวธรรม
โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ซึ่งเรียกว่าสามัญญลักษณะ ฯ
โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ซึ่งเรียกว่าสามัญญลักษณะ ฯ
๔. ภิกษุผู้ได้รับการสรรเสริญว่าดำรงอยู่ในอริยวงศ์
เพราะเป็นผู้ปฏิบัติอย่างไร ? เมื่อ
ดำรงอยู่ในอริยวงศ์ถูกต้องดีแล้วจะได้รับผลอย่างไร ?
ดำรงอยู่ในอริยวงศ์ถูกต้องดีแล้วจะได้รับผลอย่างไร ?
๔. เพราะเป็นผู้สันโดษด้วยจีวร
บิณฑบาต เสนาสนะตามมีตามได้ และยินดีในการเจริญ
กุศลและในการละอกุศล ไม่ยกตนข่มผู้อื่น ขยัน ไม่เกียจคร้าน มีสัมปชัญญะ มีสติ ฯ
กุศลและในการละอกุศล ไม่ยกตนข่มผู้อื่น ขยัน ไม่เกียจคร้าน มีสัมปชัญญะ มีสติ ฯ
ย่อมได้รับผลคือความสุขใจและปลอดโปร่งใจเพราะความประพฤติดีปฏิบัติชอบของตน
และไม่ต้องเดือดร้อนใจเพราะความเดือดร้อนเนื่องด้วยการแสวงหาไม่สมควรและ
ประพฤติเสียหายโดยประการต่างๆ ย่อมครอบงำความยินดีและความไม่ยินดีเสียได้
ความยินดีและความไม่ยินดีก็ไม่อาจครอบงำท่านได้ และใครๆ ก็ไม่อาจติเตียนท่านได้ ฯ
และไม่ต้องเดือดร้อนใจเพราะความเดือดร้อนเนื่องด้วยการแสวงหาไม่สมควรและ
ประพฤติเสียหายโดยประการต่างๆ ย่อมครอบงำความยินดีและความไม่ยินดีเสียได้
ความยินดีและความไม่ยินดีก็ไม่อาจครอบงำท่านได้ และใครๆ ก็ไม่อาจติเตียนท่านได้ ฯ
๕. วิญญาณกับสัญญา ทำหน้าที่ต่างกันอย่างไร
?
๕. ทำหน้าที่ต่างกันอย่างนี้คือ
วิญญาณทำหน้าที่รู้แจ้งอารมณ์ที่เกิดขึ้น เมื่ออายตนะภายใน
และอายตนะภายนอกมากระทบกัน เช่น เมื่อรูปมากระทบตา เกิดการเห็นขึ้นเป็นต้น
ส่วนสัญญา ทำหน้าที่จำได้หมายรู้เท่านั้น คือหมายรู้ไว้ซึ่งรูป เสียง กลิ่น รส
โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์ ว่า เขียว ขาว ดำ แดง ดัง เบาเป็นต้น ฯ
และอายตนะภายนอกมากระทบกัน เช่น เมื่อรูปมากระทบตา เกิดการเห็นขึ้นเป็นต้น
ส่วนสัญญา ทำหน้าที่จำได้หมายรู้เท่านั้น คือหมายรู้ไว้ซึ่งรูป เสียง กลิ่น รส
โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์ ว่า เขียว ขาว ดำ แดง ดัง เบาเป็นต้น ฯ
๖. พระธรรมคุณบทว่า
สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
ดีแล้ว ที่ว่า ดีแล้ว นั้นมีอธิบายอย่างไร ?
ดีแล้ว ที่ว่า ดีแล้ว นั้นมีอธิบายอย่างไร ?
๖. มีอธิบายอย่างนี้คือ
ดีทั้งในส่วนปริยัติและดีทั้งในส่วนปฏิเวธ ในส่วนปริยัติ
ได้ชื่อว่าดี
เพราะตรัสไม่วิปริต เพราะแสดงข้อปฏิบัติโดยลำดับกัน มีความไพเราะในเบื้องต้น
ท่ามกลาง ที่สุด มีทั้งอรรถทั้งพยัญชนะบริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง และเพราะประกาศ
พรหมจรรย์อย่างนั้น ส่วนในปฏิเวธนั้น ได้ชื่อว่าดี เพราะปฏิปทากับพระนิพพาน
ย่อมสมควรแก่กันและกัน ฯ
เพราะตรัสไม่วิปริต เพราะแสดงข้อปฏิบัติโดยลำดับกัน มีความไพเราะในเบื้องต้น
ท่ามกลาง ที่สุด มีทั้งอรรถทั้งพยัญชนะบริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง และเพราะประกาศ
พรหมจรรย์อย่างนั้น ส่วนในปฏิเวธนั้น ได้ชื่อว่าดี เพราะปฏิปทากับพระนิพพาน
ย่อมสมควรแก่กันและกัน ฯ
๗. อายตนะภายใน
อายตนะภายนอกเป็นต้น ได้ชื่อว่า ปิยรูป สาตรูป เพราะเหตุไร ?
โดยตรง เป็นที่เกิดเป็นที่ดับแห่งกิเลสอะไร ?
โดยตรง เป็นที่เกิดเป็นที่ดับแห่งกิเลสอะไร ?
๗. เพราะเป็นสภาวะที่รักที่ชื่นใจ
ด้วยเพ่งอิฏฐารมณ์เป็นที่ตั้ง ฯ เป็นที่เกิด เป็นที่ดับ
แห่งตัณหา ฯ
แห่งตัณหา ฯ
๘. อริยบุคคล
๘ ได้แก่ใครบ้าง ? จัดเข้าในพระเสขะและพระอเสขะได้อย่างไร
?
๘. ได้แก่ พระผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติมรรค ๑
พระผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล
๑
พระผู้ตั้งอยู่ในสกทาคามิมรรค
๑
พระผู้ตั้งอยู่ในสกทาคามิผล
๑
พระผู้ตั้งอยู่ในอนาคามิมรรค
๑
พระผู้ตั้งอยู่ในอนาคามิผล
๑
พระผู้ตั้งอยู่ในอรหัตตมรรค
๑
พระผู้ตั้งอยู่ในอรหัตตผล
๑ ฯ
จัดเข้าได้อย่างนี้ อริยบุคคล
๗ ประเภทแรก เรียกว่า พระเสขะ อริยบุคคล ๑
ประเภทหลัง เรียกว่า พระอเสขะ ฯ
ประเภทหลัง เรียกว่า พระอเสขะ ฯ
๙. อัตตกิลมถานุโยค
กับ การบำเพ็ญธุดงควัตร ต่างกันอย่างไร ?
เตจีวริกังคธุดงค์
หมายความว่าอย่างไร ?
หมายความว่าอย่างไร ?
๙. ต่างกันอย่างนี้ อัตตกิลมถานุโยค
การทรมานตนให้ลำบากเพื่อให้บาปกรรมหมดไป
เพราะการทรมานนั้น หรือเพื่อบูชาพระเจ้า ซึ่งเมื่อทราบแล้วจะทรงโปรดให้ประสบผล
ที่น่าปรารถนา ส่วนการบำเพ็ญธุดงควัตร บัญญัติขึ้นเพื่อจะให้เป็นอุบายขัดเกลากิเลส
และเป็นไปเพื่อความมักน้อยสันโดษ ฯ
เพราะการทรมานนั้น หรือเพื่อบูชาพระเจ้า ซึ่งเมื่อทราบแล้วจะทรงโปรดให้ประสบผล
ที่น่าปรารถนา ส่วนการบำเพ็ญธุดงควัตร บัญญัติขึ้นเพื่อจะให้เป็นอุบายขัดเกลากิเลส
และเป็นไปเพื่อความมักน้อยสันโดษ ฯ
เตจีวริกังคธุดงค์ หมายถึง ธุดงค์ของภิกษุผู้ถือเตจีวริกังคะ
ย่อมไม่ใช้จีวรผืนที่ ๔
นุ่งห่มเฉพาะไตรจีวรอันเป็นผ้าอธิษฐาน ฯ
นุ่งห่มเฉพาะไตรจีวรอันเป็นผ้าอธิษฐาน ฯ
๑๐. คำว่า
ทิพพจักษุ คือ ตาทิพย์ ในนิทเทสแห่งวิชชา ๓
หมายถึงเห็นอย่างไร ?
๑๐. หมายถึง
การเห็นเหล่าสัตว์ที่กำลังจุติ กำลังเกิด เลว ดี มีผิวพรรณงาม มีผิวพรรณ
ไม่งาม ได้ดี ตกยาก รู้ชัดว่าเหล่าสัตว์เป็นไปตามกรรม ฯ
ไม่งาม ได้ดี ตกยาก รู้ชัดว่าเหล่าสัตว์เป็นไปตามกรรม ฯ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น