วันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

วิชาธรรม นักธรรมชั้นเอก 2550


ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม  นักธรรมชั้นเอก
สอบในสนามหลวง
วันอังคาร ที่ ๒๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๐
๑.     สหคตทุกข์ คือทุกข์เช่นไร ? มียศชื่อว่าเป็นทุกข์นั้น มีอธิบายอย่างไร ?
๑.     คือ ทุกข์ไปด้วยกัน  หรือทุกข์กำกับกัน  ได้แก่ทุกข์มีเนื่องมาจาก   วิบุลผล ฯ
มียศคือได้รับตั้งเป็นใหญ่กว่าคนสามัญเป็นชั้น ๆ  ต้องเป็นอยู่เติบกว่าคนสามัญ  จำต้องมีทรัพย์มากเป็นกำลัง  มักหาได้ไม่พอใช้  ต้องมีภาระมาก  เวลาไม่เป็นของตน  เป็นที่เกาะของผู้อื่นจนนุงนัง  ต้องพลอยสุขทุกข์ด้วยเขา ฯ
๒.     ไวพจน์แห่งวิราคะ  ได้แก่อะไรบ้าง ?
๒.     ได้แก่
มทนิมฺมทโน        แปลว่า  ธรรมยังความเมาให้สร่าง
        ปิปาสวินโย        แปลว่า  ความนำเสียซึ่งความระหาย
        อาลยสมุคฺฆาโต     แปลว่า  ความถอนขึ้นด้วยดีซึ่งอาลัย
        วฏฺฏูปจฺเฉโท       แปลว่า  ความเข้าไปตัดเสียซึ่งวัฏฏะ
ตณฺหกฺขโย            แปลว่า  ความสิ้นแห่งตัณหา
นิโรโธ                  แปลว่า  ความดับ
นิพฺพานํ               แปลว่า  ธรรมชาติหาเครื่องเสียบแทงมิได้ ฯ
  
๓.     วิมุตติ เป็นโลกิยธรรมหรือโลกุตตรธรรม ?   เป็นสาสวะหรืออนาสวะ ?
๓.     ถ้าเพ่งถึงวิมุตติที่สืบเนื่องมาจากนิพพิทาและวิราคะแล้ว ก็เป็นโลกุตตระและอนาสวะอย่างเดียว   ถ้าเพ่งถึงวิมุตติ ๕   วิมุตติเป็นโลกิยะก็มี  เป็นสาสวะก็มี   คือตทังควิมุตติและวิกขัมภนวิมุตติเป็นโลกิยะและเป็นสาสวะ   วิมุตติอีก ๓ ที่เหลือ  เป็นโลกุตตระและเป็นอนาสวะ ฯ
๔.     ในบรรดาสังขตธรรมนั้น  อะไรเป็นยอด ?   เพราะเหตุไร ?
๔.     อัฏฐังคิกมรรคเป็นยอด ฯ
เพราะองค์ ๘ แต่ละองค์ ๆ ของอัฎฐังคิกมรรคก็เป็นธรรมดี ๆ  รวมกันเข้าทั้ง ๘ ย่อมเป็นธรรมดียิ่งนัก  และเป็นทางเดียวนำไปถึงความดับทุกข์หรือถึงความหมดจดแห่งทัสสนะ ฯ
๕.     บาลีแสดงปฏิปทาแห่งสันติว่า  ผู้เพ่งความสงบพึงละอามิสในโลกเสีย
ความสงบ  ได้แก่อะไร ?   อามิส  ได้แก่อะไร ?   เพราะเหตุไรจึงเรียกว่าอามิส ?
๕.     ได้แก่  ความเรียบร้อยทางกายทางวาจาและทางใจ ฯ
ได้แก่  ปัญจพิธกามคุณ  คือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ  อันน่าปรารถนาน่าใคร่น่าชอบใจ ฯ
เพราะเป็นเครื่องล่อใจให้ติดในโลก ฯ
๖.     เพราะเหตุไร  พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงชักนำให้บำเพ็ญสมาธิ ?     หัวใจสมถกัมมัฏฐานมีอะไรบ้าง ?
๖.     เพราะใจที่อบรมดีแล้ว  ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์อันใหญ่  เป็นกำลังสำคัญในอันจะให้คิดเห็นอรรถธรรมและเหตุผลอันสุขุมลุ่มลึก      พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้ในพระบาลีว่า  สมาหิโต  ยถาภูตํ      ปชานาติ   ผู้มีใจตั้งมั่นแล้ว  ย่อมรู้ตามเป็นจริง ฯ
        มี กายคตาสติ  เมตตา  พุทธานุสสติ  กสิณ  จตุธาตุววัตถานะ ฯ
๗.     จงจัด นวหรคุณ  แต่ละอย่างลงในพระปัญญาคุณและพระกรุณาคุณ ?
๗.     บท  อรหํ  สมฺมาสมฺพุทฺโธ  วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน  สุคโต  โลกวิทู 
เป็นพระปัญญาคุณ
        บท อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ   สตฺถา เทวมนุสฺสานํ  เป็นพระกรุณาคุณ
        บท  พุทฺโธ   ภควา  เป็นพระปัญญาคุณและพระกรุณาคุณทั้งสอง
        (สุคโต  ในที่บางแห่ง  จัดเป็นทั้งพระปัญญาคุณทั้งพระกรุณาคุณ) ฯ
๘.     อะไรเป็นลักษณะ  เป็นกิจ  และเป็นผลของวิปัสสนา ?
๘.     สภาพความเป็นเองของสังขาร  คือเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา จริงอย่างไร  ความรู้ความเห็นว่าสังขารเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา แจ้งชัดจริงอย่างนั้น  เป็นลักษณะของวิปัสสนา
การกำจัดโมหะความมืดเสียให้สิ้นเชิง  ไม่หลงในสังขารว่าเป็นของเที่ยง เป็นสุข เป็นตัวเป็นตน เป็นของงาม  เป็นกิจของวิปัสสนา
ความรู้แจ้งเห็นจริงในสังขารทั้งหลายว่าเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา  อันสืบเนื่องมาจากการกำจัดโมหะความมืดเสียได้สิ้นเชิง  ไม่มีความรู้ผิดความเห็นผิด  เป็นผลของวิปัสสนา ฯ  
๙.     ในอรกสูตร  ทรงแสดงอุปมาชีวิตของมนุษย์ทั้งหลายไว้อย่างไรบ้าง   จงบอกมา ๓ ข้อ ?   ที่ทรงแสดงไว้เช่นนั้นเพื่ออะไร ?
๙.     ทรงแสดงไว้ดังนี้  คือ  (ให้ตอบเพียง ๓ ข้อ)  ๑. เหมือนหยาดน้ำค้าง  ๒. เหมือนต่อมน้ำ  ๓. เหมือนรอยไม้ขีดลงในน้ำ  ๔. เหมือนลำธารอันไหลมาจากภูเขา  ๕. เหมือนก้อนเขฬะ  ๖. เหมือนชิ้นเนื้อนาบไฟ     ๗. เหมือนโคที่เขาจะฆ่า ฯ
ทรงแสดงไว้เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจให้เร่งรีบทำความดีให้ทันกับเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่ ฯ
๑๐.   ตามมหาสติปัฏฐานสูตร  ผู้เจริญสติปัฏฐาน ๔  ตลอด ๗ วันถึงตลอด ๗ ปี  พึงหวังผลอะไรได้บ้าง ?
๑๐.   พึงหวังผล ๒ อย่าง  อย่างใดอย่างหนึ่ง  คือ  พระอรหัตผลในปัจจุบันชาตินี้ ๑  หรือเมื่อวิบากขันธ์ที่กิเลสมีตัณหาเป็นต้นเข้ายึดไว้ยังเหลืออยู่  เป็นพระอนาคามี ๑ ฯ
***********

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น