ปัญหาและเฉลยวิชาวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
พ.ศ. ๒๕๕๒
๑.
สิกขาบทนอกพระปาติโมกข์ที่เรียกว่าอภิสมาจารแบ่งเป็น
๒ คือเป็นข้อห้าม ๑ เป็นข้ออนุญาต ๑ นั้นคืออย่างไร? ปรับโทษแก่ผู้ล่วงละเมิดไว้อย่างไร?
ตอบ ที่เป็นข้อห้ามคือ
กิริยาบางอย่างหรือบริขารบางประเภทไม่เหมาะแก่สมณสารูป
จึงทรงห้ามไม่ให้กระทำหรือใช้บริขารเช่นนั้น เช่น ห้ามไม่ให้ไว้ผมยาว
ไม่ให้ไว้หนวดเครายาว ไม่ให้ใช้บาตรไม้ เป็นต้น ที่เป็นข้ออนุญาต
คือเป็นการประทานประโยชน์พิเศษแก่พระภิกษุ เช่น ทรงอนุญาตวัสสิกาสาฎกในฤดูฝน
เป็นต้น ฯ ปรับโทษโดยตรงมีเพียง ๒ คือ ถุลลัจจัย ๑ ทุกกฏ ๑ แม้ในข้อที่ทรงอนุญาต
เมื่อไม่ทำตาม ก็เป็นอาบัติทุกกฏ เพราะไม่เอื้อเฟื้อ ฯ
๒.
มีพระบัญญัติข้อหนึ่งว่า
อย่าพึงนุ่งผ้าอย่างคฤหัสถ์ อย่าพึงห่มผ้าอย่างคฤหัสถ์
ในกรณีที่ภิกษุถูกโจรชิงผ้านุ่งห่มไปหมด พึงปฏิบัติอย่างไรจึงจะถูกต้องตามพระวินัย?
ตอบ
พึงปิดกายด้วยวัตถุอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นการชั่วคราว โดยที่สุดแม้ใบไม้ก็ใช้ได้
ห้ามมิให้เปลือยกาย ฯ
๓.
ผ้าสำหรับทำจีวรนุ่งห่มนั้นทรงอนุญาตไว้กี่ชนิด
อะไรบ้าง?
ตอบ ทรงอนุญาตไว้ ๖ ชนิด คือ
๑) โขมะ ผ้าทำด้วยเปลือกไม้
๒) กัปปาสิกะ ผ้าทำด้วยฝ้าย
๓) โกเสยยะ ผ้าทำด้วยใยไหม
๔) กัมพละ ผ้าทำด้วยขนสัตว์
ยกเว้นผมและขนมนุษย์
๕) สาณะ ผ้าทำด้วยเปลือกป่าน
๖) ภังคะ ผ้าที่ทำด้วยของ
๕ อย่างนั้น อย่างใดอย่างหนึ่งปนกัน ฯ
๔.
การประณาม
ในพระวินัยหมายความว่าอย่างไร?
มีพระพุทธานุญาตให้อุปัชฌาย์ทำการประณามสัทธิวิหาริกผู้ประพฤติอย่างไร?
ตอบ หมายความว่า การไล่สัทธิวิหาริก
หรืออันเตวาสิกผู้ประพฤติมิชอบ ผู้ประพฤติดังนี้
๑) หาความรักใคร่ในอุปัชฌาย์มิได้
๒) หาความเลื่อมใสมิได้
๓) หาความละอายมิได้
๔) หาความเคารพมิได้
๕) หาความหวังดีต่อมิได้ ฯ
๕.
บุพพกรณ์และบุพพกิจ
ในการทำอุโบสถต่างกันอย่างไร?
ในวัดที่มีภิกษุ ๓ รูป เมื่อถึงวันอุโบสถ
จะต้องทำบุพพกรณ์และบุพพกิจหรือไม่ เพราะเหตุไร?
ตอบ บุพพกรณ์ คือ
กรณียะอันจะพึงกระทำให้เสร็จก่อนประชุมสงฆ์ ส่วนบุพพกิจ
เป็นธุระอันจะพึงทำก่อนแต่สวดปาติโมกข์ ฯ
บุพพกรณ์นั้นเป็นกรณียะ จะต้องทำเพราะต้องไปประชุมกันตามกิจ
ส่วนบุพพกิจนั้นไม่ต้องทำเพราะภิกษุ ๓ รูปไม่ต้องสวดปาติโมกข์ ฯ
๖.
ภิกษุจำพรรษาอยู่ด้วยกัน
๕ รูป ๔ รูป ๓ รูป ๒ รูปหรืออยู่รูปเดียว ถึงวันปวารณาพึงปฏิบัติอย่างไร?
ตอบ อยู่ด้วยกัน ๕
รูปพึงทำปวารณาเป็นการสงฆ์
อยู่ด้วยกัน ๔ รูป ๓ รูป ๒ รูป พึงทำปวารณาเป็นการคณะ
อยู่รูปเดียว พึงอธิษฐานเป็นการบุคคล ฯ
๗.
การทำนอกรีตนอกรอยของสมณะที่เรียกว่า
อนาจาร ปาปสมาจาร และอเนสนา ได้แก่ความประพฤติเช่นไร รวมเรียกว่าอะไร?
ตอบ อนาจาร ได้แก่ ความประพฤติไม่ดี
ไม่งาม และเล่นมีประการต่างๆ
ปาปสมาจาร ได้แก่ ความประพฤติเลวทราม
อเนสนา ได้แก่ ความเลี้ยงชีพไม่สมควร
รวมเรียกว่าอุปปถกิริยา ฯ
๘.
กาลิกคืออะไร? มีอะไรบ้าง? กาลิกระคนกันมีกำหนดอายุไว้อย่างไร? จงยกตัวอย่าง
ตอบ ของที่จะพึงกลืนให้ล่วงลำคอลงไป
มีดังนี้ ยาวกาลิก ยามกาลิก สัตตาหกาลิก และยาวชีวิก ฯ
กำหนดอายุตามกาลิกที่มีอายุสั้นที่สุดเป็นเกณฑ์ เช่น
เอายาผงที่เป็นยาวชีวิกซึ่งไม่จำกัดอายุคลุกับน้ำผึ้งที่เป็นสัตตาหกาลิกซึ่งมีกำหนดอายุไว้
๗ วัน ดังนี้ต้องถืออายุ ๗ วันเป็นเกฑ์ ฯ
๙.
การแสดงอาบัติ
การอธิษฐาน การทำวิกัป ในทางพระวินัยเรียกว่าอะไร? การทำกิจเหล่านี้จำกัดบุคคลไว้อย่างไร?
ตอบ เรียกว่า วินัยกรรม ฯ
การแสดงอาบัติ จำกัดภิกษุผู้รับ
ต้องเป็นภิกษุผู้มีสังวาสเดียวกัน
การอธิษฐาน ให้ทำเอง
การทำวิกัป จำกัดผู้รับ ต้องทำกับสหธรรมิกทั้ง ๕ คือ ภิกษุ
ภิกษุณี สามเถร สามเณรี สิกขมานา รูปใดรูปหนึ่ง ฯ
๑๐.ภิกษุผู้ได้ชื่อว่าประดับพระศาสนาให้รุ่งเรืองเพราะประพฤติปฏิบัติ
เช่นไร? จงชี้แจง
ตอบ
เพราะมีความประพฤติปฏิบัติสุภาพเรียบร้อย สมบูรณ์ด้วยอภิสมาจาริกวัตร
เว้นจากบุคคลและสถานที่ไม่ควรไป
คืออโคจร เป็นผู้ได้ชื่อว่าอาจารโคจรสัมปันโน
ผู้ถึงพร้อมด้วยมรรยาทและโคจรอันเป็นคู่กับคุณบทว่า สีลสัมปันโน
ผู้ถึงพร้อมด้วยศีล ฯ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น