ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นเอก
สอบในสนามหลวง
วันอังคาร ที่ ๒๓ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๓
อุทเทสว่า “สูทั้งหลายจงมาดูโลกนี้
อันตระการดุจราชรถที่พวก หมกอยู่ แต่พวกผู้รู้หาข้องอยู่ไม่” จงวิจารณ์ว่า ตอน
ปรมัตถปฏิปทา ตอนไหนแสดงปรมัตถ์ ตอนไหนแสดงสังสารวัฏฏ์ ? เพราะเหตุไร ?
ตอนที่ว่า “สูทั้งหลายจงมาดูโลกนี้
อันตระการดุจราชรถ” ปรมัตถปฏิปทา เพราะประสงค์ให้ดูเพื่อนิพพิทาเป็นต้น
ตอนที่ว่า “แต่พวกผู้รู้หาข้องอยู่ไม่” แสดงปรมัตถ์
เพราะแสด ที่เป็นเหตุให้พ้นจากความข้องอยู่ซึ่งเป็นปรมัตถธรรม อันจ
การปฏิบัติในปรมัตถปฏิปทาโดยล ำดับ
ตอนที่ว่า “ที่พวกคนเขลาหมกอยู่” แสดงสังสารวัฏฏ์ เพราะต้องว
ท่องเที่ยวไปด้วยความเขลา ฯ
ข้อว่า ผู้ใดจักระวังจิต ผู้นั้นจักพ้นจากบ่วงแห่งมาร ดังน และ บ่วงแห่งมาร
ได้แก่อะไร ? เพราะเหตุไรจึงชื่ออย่างนั้น ?
มาร ได้แก่กิเลสกาม คือ
เจตสิกอันเศร้าหมอง ชักให้ใคร่ให อยากได้
ชื่ออย่างนั้นเพราะเป็นโทษล้างผลาญคุณความดีและท ำให้ บ่วงแห่งมาร ได้แก่วัตถุกาม
คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผ อันเป็นของน่าชอบใจ
ชื่ออย่างนั้นเพราะเป็นอารมณ์เครื่องผูกใจใ
ทุกขตา ความเป็นทุกข์แห่งสังขารนั้น ก ำหนดเห็นด้วยทุกข์
วิปากทุกข์ได้แก่ทุกข์เช่นไร ?
๑๐ หมวด ฯ ได้แก่วิปฏิสาร
คือความร้อนใจ การเสวยกรรมกรณ์ค ถูกลงอาชญา ความฉิบหาย ความตกยาก และความตกอบาย ฯ
ค ำว่า สุคติ
ในพระบาลีว่า อสงฺกิลิฏฺเฐจิตฺเต สุคติ ปาฏิกงฺ คืออะไร ? มีอะไรบ้าง ?
คือ ภูมิเป็นที่ไปข้างดี ฯ มี เทวะ ๑ มนุษย์ ๑ หรือ
โลกสวรรค์ ๑ ฯ
วิมุตติ ความหลุดพ้นนั้น ตัวหลุดพ้นคืออะไร ? หลุดพ้นจา
ตัวรู้ว่าหลุดพ้นคืออะไร ? จงอ้างหลักฐานประกอบด้วย
ตัวหลุดพ้นคือจิต ฯ หลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย ตามพระบาล
กามาสวาปิ จิตฺตํ วิมุจฺจิตฺถ ภวาสวาปิ
จิตฺตํ วิมุจฺจิตฺ จิตฺตํ วิมุจฺจิตฺถ จิตหลุดพ้นแล้ว
แม้จากอาสวะเนื่องด้วยกาม แล้ว
แม้จากอาสวะเนื่องด้วยภพ จิตหลุดพ้นแล้ว แม้จากอาสวะเนื อวิชชา ฯ ญาณเป็นตัวรู้
ตามพระบาลีว่า วิมุตฺตสฺมึ ํวิมุตฺ โหติ เมื่อหลุดพ้นแล้ว ญาณว่าหลุดพ้นแล้ว
ย่อมมี ฯ
สันติ ความสงบ
เป็นโลกิยะหรือโลกุตตระ ?
จงตอบโดยอ้างพระบาล
มาประกอบ
เป็นได้ทั้งโลกิยะและโลกุตตระ ฯ
ที่เป็นโลกิยะได้ในบาลีว่า
หิ รุณฺเณน
โสเกน สนฺตึ ปปฺโปติ
เจตโส
บุคคลย่อมถึงความสงบแห่งจิต
ด้วยร้องไห้ ด้วยเศร้าโศกก็หาไม ที่เป็นโลกุตตระได้ในบาลีว่า
โลกามิสํ ปชเห สนฺติเปกฺโข
ผู้เพ่งสันติพึงละโลกามิสเสีย
ฯ
คือ
ธรรมอันกั้นจิตไม่ให้บรรลุความดี ฯ
กามฉันท์ ใช้ อสุภกัมมัฏฐาน หรือกายคตาสติเป็นเครื่องแก้ พยาบาท ใช้ เมตตา
กรุณา มุทิตา พรหมวิหาร ๓ ข้อต้นเป็นเครื่ ถีนมิทธะ ใช้
อนุสสติกัมมัฏฐานเป็นเครื่องแก้ อุทธัจจกุกกุจจะ ใช้
กสิณหรือมรณัสสติเป็นเครื่องแก้ วิจิกิจฉา ใช้
ธาตุกัมมัฏฐานหรือวิปัสสนากัมมัฏฐานเป็นเครื่อ
จตุธาตุววัตถานกัมมัฏฐาน
คืออะไร ? ผู้เจริญกัมมัฏฐานนี้จะ พิจารณาอย่างไร ?
คือ ความก ำหนดหมายซึ่งธาตุ ๔
โดยสภาวะความเป็นเองของธาตุ
พึงกหนดพิจารณาทั้งกายตนเองและกายผู้อื่นให้เห็นเป็นแต่สักว่า ำ พึงก ำหนดให้รู้จักธาตุภายในภายนอกให้เห็นเป็นแต่สักว่าธาตุไป
ไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่บุคคล ฯ
ปัญหาว่าตายแล้วเกิดหรือตายแล้วสูญจะหมดไปได้ เมื่อเจริญวิ ได้ชั้นไหนแล้ว
? เพราะได้พิจารณาเห็นอย่างไร ?
ชั้นกังขาวิตรณวิสุทธิ ฯ
เพราะได้พิจารณาก
ำหนดรู้จริงเห็นจริงซึ่งนามรูปทั้งเหตุทั้งปั กังขาในกาลทั้ง ๓ เสียได้
ไม่สงสัยว่า เราจุติมาจากไหน เราเป็ เราจะไปเกิดที่ไหน เป็นต้น ฯ
๑๐. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงสัญญา
๑๐ กะใคร ? อนิจจสัญญา พระผู พระภาคเจ้าทรงสอนให้พิจารณาธรรมอะไร ?
๑๐.
พระอานนทเถระ ฯ
พิจารณาขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ฯ
*********
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น