ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นเอก
สอบในสนามหลวง
พ.ศ. ๒๕๔๖
๑.
|
บาลีแสดงปฏิปทาแห่งนิพพิทาว่า
เย
จิตฺตํ สญฺญ เมสฺสนฺติ โมกฺขนฺติ มารพนฺธนา ผู้ใดสำรวมจิต ผู้นั้นจักพ้นจากบ่วงแห่งมาร
|
|
|
๑.๑
|
คำว่า
“ บ่วงแห่งมาร ” ได้แก่อะไร ?
|
|
๑.๒
|
อาการสำรวมจิต
คืออย่างไร ?
|
๑.
|
๑.๑
|
ได้แก่วัตถุกาม
คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันน่าใคร่ น่าปรารถนา น่าชอบใจ ฯ
|
|
๑.๒
|
อาการสำรวมจิตมี
๓ ประการ คือ
๑) สำรวมอินทรีย์มิให้ความยินดีครอบงำ
ในเมื่อเห็นรูป ฟังเสียง ดม
กลิ่น ลิ้มรส ถูกต้องโผฏฐัพพะ อันน่าปรารถนา
๒) มนสิการกัมมัฏฐานอันเป็นปฏิปักษ์ต่อกามฉันท์
คือ อสุภและ
กายคตาสติ หรืออันยังจิตให้สลด คือมรณสติ
๓) เจริญวิปัสสนา คือพิจารณาสังขารแยกออกเป็นขันธ์
สันนิษฐาน
เห็นเป็นสภาพไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ฯ |
๒.
|
๒.๑
|
นิพัทธทุกข์ หมายถึงทุกข์อย่างไร
?
|
|
๒.๒
|
ในทุกข์ ๑๐
อย่าง ความร้อนใจ หรือความถูกลงอาชญา จัดเป็นทุกข์เช่นไร ?
|
๒.
|
๒.๑
|
หมายถึง
ทุกข์เนืองนิตย์ หรือทุกข์เป็นเจ้าเรือน ได้แก่ หนาว ร้อน หิว ระหาย ปวดอุจจาระ
ปวดปัสสาวะ ฯ
|
|
๒.๒
|
จัดเป็นวิปากทุกข์
ฯ
|
๓.
|
๓.๑
|
ในวิมุตติ ๕ อย่างไหนเป็นโลกิยะ
อย่างไหนเป็นโลกุตตระ ?
|
|
๓.๒
|
พระบาลีว่า
“ ปญฺญาย ปริสุชฺฌติ
บุคคลย่อมหมดจดด้วยปัญญา ” มีอธิบายอย่างไร ?
|
๓.
|
๓.๑
|
ตทังควิมุตติ
วิกขัมภนวิมุตติ เป็นโลกิยะ
สมุจเฉทวิมุตติ
ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ นิสสรณวิมุตติ เป็นโลกุตตระ ฯ
|
|
๓.๒
|
มีอธิบายว่า
บุคคลทำบาปเอง ย่อมเศร้าหมองเอง ไม่ทำบาปเอง ย่อมหมดจดเอง
ความหมดจดและความเศร้าหมองเป็นของเฉพาะตน คนอื่นยังคนอื่นให้หมดจดหาได้ไม่ ฯ |
๔.
|
เนื้อความในภารสูตรว่า “ ปลงภาระอันหนักเสียแล้ว
ไม่ถือเอาภาระอันอื่น ” ถามว่า
|
|
|
๔.๑
|
คำว่า
“ ภาระอันหนัก ” ได้แก่อะไร ?
|
|
๔.๒
|
การถือและการปลงภาระอันหนักนั้น
หมายถึงอะไร ?
|
๔.
|
๔.๑
|
ได้แก่
ปัญจขันธ์ ฯ
|
|
๔.๒
|
การถือ หมายถึง การถือด้วยอุปาทาน การปลง
หมายถึง การถอนอุปาทาน ฯ
|
๕.
|
๕.๑
|
คติ
คือภูมิเป็นที่ไปของสัตว์ผู้ตายแล้ว เป็นอย่างไร ?
|
|
๕.๒
|
มีบาลีแสดงอุทเทสเกี่ยวกับคตินั้น
ว่าอย่างไร ?
|
๕.
|
๕.๑
|
เป็น ๒ คือ ทุคติ
ภูมิเป็นที่ไปข้างชั่ว ๑ สุคติ ภูมิเป็นที่ไปข้างดี ๑ ฯ
|
|
๕.๒
|
มีบาลีแสดงอุทเทสว่า
ดังนี้
๑) จิตฺเต สงฺกิลิฏฺเฐ ทุคฺคติ ปาฏิกงฺขา
เมื่อจิตเศร้าหมองแล้ว ทุคติเป็นอันต้องหวัง
๒) จิตฺเต อสงฺกิลิฏฺเฐ สุคติ ปาฏิกงฺขา
เมื่อจิตไม่เศร้าหมองแล้ว สุคติเป็นอันหวังได้ ฯ |
๖.
|
๖.๑
|
พระบรมศาสดาทรงชักนำบุคคลให้บำเพ็ญสมาธิ เพราะทรงเห็นประโยชน์อย่างไร
?
|
|
๖.๒
|
พระพุทธจรรยาแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ในการทรงแสดงธรรมเร้าใจนั้น ด้วยอาการอย่างไรบ้าง ?
|
๖.
|
๖.๑
|
เพราะทรงเห็นว่า
จิตใจของบุคคลเมื่อได้อบรมดีแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ใหญ่
ย่อมรู้เห็นตามเป็นจริง ดังพระบาลีว่า สมาหิโต ยถาภูตํ ปชานาติ
ผู้มีจิตเป็นสมาธิแล้ว ย่อมรู้ตามเป็นจริง ฯ
|
|
๖.๒
|
ด้วยอาการ
๔ คือ
๑. สนฺทสฺสนา อธิบายให้เห็นแจ่มแจ้ง ให้เข้าใจชัด
๒. สมาทปนา ชวนให้มีแก่ใจสมาทาน คือทำตาม
๓. สมุตฺเตชนา ชักนำให้เกิดอุตสาหะอาจหาญเพื่อจะทำ
๔. สมฺปหํสนา พยุงให้ร่าเริงในอันทำ ฯ
|
๗.
|
๗.๑
|
บุคคลในโลกนี้ เมื่อจัดตามจริต
มีกี่ประเภท ? อะไรบ้าง ?
|
|
๗.๒
|
นิวรณ์ ๕
อย่างไหนสงเคราะห์เข้าในจริตอะไร ?
|
๗.
|
๗.๑
|
มี ๖ ประเภท คือ
คนราคจริต ๑
คนโทสจริต ๑
คนโมหจริต ๑
คนสัทธาจริต ๑
คนพุทธิจริต ๑
คนวิตักกจริต ๑ ฯ
|
|
๗.๒
|
กามฉันท์ สงเคราะห์เข้าในราคจริต
พยาบาท สงเคราะห์เข้าในโทสจริต
ถีนมิทธะ สงเคราะห์เข้าในโมหจริต
อุทธัจจกุกกุจจะ สงเคราะห์เข้าในวิตักกจริต
วิจิกิจฉา สงเคราะห์เข้าในโมหจริต ฯ
|
๘.
|
๘.๑
|
ปริยัติธรรม หมายถึงอะไร
? ที่ได้ชื่ออย่างนั้นเพราะเหตุไร
?
|
|
๘.๒
|
ธรรมทั้งปริยัติ
ปฏิบัติ และปฏิเวธ มีคุณโดยย่ออย่างไร ?
|
๘.
|
๘.๑
|
หมายถึง
พุทธวจนะทั้งสิ้น ฯ ที่ได้ชื่อว่าปริยัติธรรม เพราะเป็นธรรมต้อง
เล่าเรียนศึกษาให้รู้รอบคอบด้วยดี ฯ |
|
๘.๒
|
มีคุณโดยย่ออย่างนี้
ปริยัติธรรม มีคุณคือ ให้รู้วิธีบำเพ็ญ ศีล สมาธิ ปัญญา ปฏิบัติธรรม มีคุณคือ ทำกาย วาจา ใจ ให้บริสุทธิ์จนบรรลุ
มรรค ผล นิพพาน
ปฏิเวธธรรม คือ มรรค ผล นิพพาน มรรคผลนั้น มีคุณคือ ละกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน ส่วนนิพพาน มีคุณคือ ดับเพลิงกิเลสและกองทุกข์ได้ทั้งหมด ฯ |
๙.
|
๙.๑
|
ความกำหนดรู้อย่างไร
จัดเป็นลักษณะของวิปัสสนาภาวนา ?
|
|
๙.๒
|
ผู้เจริญวิปัสสนาภาวนา
พึงรู้ฐานะทั้ง ๖ ก่อน ฐานะทั้ง ๖ นั้น คืออะไรบ้าง ?
|
๙.
|
๙.๑
|
ความกำหนดรู้ว่า
สังขารทั้งปวงเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา
เป็นลักษณะของวิปัสสนาภาวนา ฯ
|
|
๙.๒
|
ฐานะทั้ง
๖ คือ
อนิจจะ ของไม่เที่ยง ๑
อนิจจลักษณะ เครื่องหมายที่จะกำหนดรู้ว่าไม่เที่ยง ๑
ทุกขะ ของที่สัตว์ทนยาก ๑
ทุกขลักษณะ เครื่องหมายที่จะให้กำหนดรู้ว่าเป็นทุกข์ ๑
อนัตตา สภาวะมิใช่ตัวมิใช่ตน ๑
อนัตตลักษณะ เครื่องหมายที่จะให้กำหนดรู้ว่าเป็นอนัตตา ๑ ฯ
|
๑๐.
|
๑๐.๑
|
พระคิริมานนท์หายจากอาพาธหนัก
เพราะฟังธรรมอะไร ? ใครเป็นผู้แสดง
?
|
|
๑๐.๒
|
ข้อว่า “
สพฺพสงฺขาเรสุ อนิจฺจสญฺญา
ความจำหมายความไม่เที่ยงในสังขารทั้งปวง ” มีใจความว่าอย่างไร ?
|
๑๐.
|
๑๐.๑
|
เพราะฟังคิริมานนทสูตร
ฯ พระอานนทเถระ เป็นผู้แสดง ฯ
|
|
๑๐.๒
|
มีใจความว่า ภิกษุในธรรมวินัยนี้
ย่อมเบื่อหน่าย ย่อมระอา ย่อมเกลียดชัง แต่สังขารทั้งปวง ฯ
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น