วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

วิชาพุทธานุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นเอก 2546


ปัญหาและเฉลยวิชาพุทธานุพุทธประวัติ  นักธรรมชั้นเอก
สอบในสนามหลวง
.. ๒๕๔๖
.
.

ความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น สำเร็จด้วยญาณอะไร ?  เพราะเหตุไร ?


.
พระพุทธองค์ ครั้นตรัสรู้แล้ว ทรงเปล่งพระอุทานในยามสุดท้าย มีความว่าอย่างไร ?
.
.
ด้วยอาสวักขยญาณ ฯ  เพราะอาสวักขยญาณ คือความรู้เป็นเหตุสิ้นอาสวะ คือ เครื่องเศร้าหมองอันหมักหมมในจิตสันดาน ฯ

.
มีความว่า เมื่อใดธรรมทั้งหลายปรากฏชัดแก่พราหมณ์ผู้มีเพียรเพ่งอยู่  พราหมณ์นั้นย่อมกำจัดเสนามาร คือชรา พยาธิ มรณะ เสียได้ ดุจ
พระอาทิตย์อุทัย กำจัดมืดทำอากาศให้สว่างขึ้นฉะนั้น
.
.
พระพุทธองค์ทรงประดิษฐานพระพุทธศาสนาที่ไหนเป็นแห่งแรก ? 
ทรงเห็นประโยชน์อะไรจึงทรงประดิษฐาน ณ ที่นั้น ?

.
การที่พระพุทธองค์ทรงสามารถประดิษฐานพระพุทธศาสนาได้มั่นคง  เพราะทรงสั่งสอนโดยอาการอย่างไรบ้าง ?
.
.
ที่ กรุงราชคฤห์ ฯ  เพราะทรงเห็นว่าเมืองนี้เป็นเมืองที่บริบูรณ์มั่งคั่ง และ
มีศาสดาเจ้าลัทธิมาก ถ้าได้โปรดคนเหล่านี้ให้เกิดความเลื่อมใสได้แล้ว  การเผยแผ่พระพุทธศาสนาก็สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น เพราะศาสดา
เจ้าลัทธิต่างๆ นั้น ล้วนมีศิษยานุศิษย์มาก ผู้คนนับถือมาก ด้วยเหตุนี้
จึงทรงเลือกเมืองนี้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธศาสนาเป็นแห่งแรก ฯ

.
โดยอาการ ๓ อย่าง คือ
      ) ทรงสั่งสอนให้ผู้ฟังรู้ยิ่ง เห็นจริงในธรรมที่ควรรู้ควรเห็น
      ) ทรงสั่งสอนมีเหตุมีผลที่ผู้ฟังอาจตรองตามให้เห็นจริงได้
      ) ทรงสั่งสอนเป็นอัศจรรย์ที่ผู้ปฏิบัติตาม ย่อมได้รับผลโดยสมควร
          แก่การปฏิบัติ ฯ
.
.
ความปรารถนาของพระเจ้าพิมพิสารข้อที่ ๕ ความว่าอย่างไร ?

.
ความปรารถนานั้นสำเร็จแก่พระองค์เมื่อไร ?  ที่ไหน ?
.
.
ความว่า ขอให้ข้าพเจ้ารู้ทั่วถึงธรรมของพระอรหันต์

.
สำเร็จบริบูรณ์ในวันที่ได้ฟังอนุปุพพีกถาและอริยสัจ ๔ ที่พระพุทธองค์
ทรงแสดงโปรด  จนได้ดวงตาเห็นธรรม ฯ  ที่สวนตาลหนุ่ม ฯ
.
.

พระวาจาที่พระมหาบุรุษทรงเปล่งในวันประสูตินั้น เรียกว่าอะไร ? ใจความโดยย่ออย่างไร ?


.
พระพุทธกิจ ๕ อย่าง มีอะไรบ้าง ?  ข้อไหนที่ทรงบำเพ็ญเป็นนิจตราบเท่าปรินิพพาน ?
.
.
เรียกว่า อาสภิวาจา ใจความย่อว่า  เราเป็นผู้เลิศเป็นยอดแห่งโลก  เราเป็นผู้เจริญผู้ใหญ่แห่งโลก เราเป็นผู้ประเสริฐแห่งโลก  ความบังเกิดชาตินี้มี ณ ที่สุด บัดนี้ ความบังเกิดอีกมิได้มี 

.
มี ๕ อย่าง ฯ คือ
      ) เวลาเช้า เสด็จออกบิณฑบาต
      ) เวลาเย็น ทรงแสดงธรรม
      ) เวลาย่ำค่ำ ทรงโอวาทภิกษุ
      ) เวลาเที่ยงคืน ทรงตอบปัญหาเทวดา
      ) เวลาย่ำรุ่ง ทรงตรวจดูเวไนยสัตว์ ฯ
          ยกเว้นข้อเสด็จออกบิณฑบาต นอกนั้นทรงบำเพ็ญเป็นนิจ
          ตราบเท่าปรินิพพาน ฯ
.
.

โอวาทปาฏิโมกข์ทรงแสดงที่ไหน ?  เมื่อไร ?


.
ข้อที่ทรงยกขันติขึ้นตรัสในโอวาทปาฏิโมกข์นั้น  หมายความว่าอย่างไร ?
.
.
ที่เวฬุวนาราม กรุงราชคฤห์ ฯ  เมื่อวันเพ็ญเดือน ๓ ฯ

.
หมายความว่า ศาสนธรรมคำสอนของพระองค์เป็นไปเพื่อให้อดทนต่อเย็น ร้อน หิวระหาย ถ้อยคำให้ร้าย ใส่ความ ด่าว่า และทุกขเวทนาอันแรงกล้าเกิดแต่อาพาธ ฯ
.
.

อุปติสสปริพาชก เมื่อได้ฟังธรรมโดยย่อจากพระอัสสชิเถระแล้ว  มีความเข้าใจในเนื้อความแห่งธรรมนั้นว่าอย่างไร ?


.
ครั้งพุทธกาล กุลบุตรผู้มีศรัทธาเลื่อมใสในพระศาสนาขออนุญาตบวช
จากมารดาบิดา  เมื่อไม่ได้รับอนุญาตก็เสียใจ จึงทำการประท้วง กุลบุตร
ผู้นั้นคือใคร ?  ประท้วงด้วยวิธีใด ?
.
.
ว่าอย่างนี้คือ  ธรรมทั้งปวงเกิดแต่เหตุ และจะสงบระงับไป เพราะเหตุ
ดับก่อน  พระศาสดา ทรงสั่งสอนให้ปฏิบัติ  เพื่อสงบระงับเหตุแห่งธรรมเป็นเครื่องก่อให้เกิดทุกข์

.
กุลบุตรผู้นั้น คือพระรัฐบาล ฯ ประท้วงด้วยวิธีนอนไม่ลุกขึ้น และอดอาหาร ฯ
.
.

อนาถบิณฑิกเศรษฐี มีนามเดิมว่าอะไร ?


.
ท่านได้บรรลุคุณวิเศษอะไรในพระพุทธศาสนา ?
.
.
สุทัตตะ ฯ

.
โสดาปัตติผล ฯ
.
.
ผู้ได้นามว่า  ภัทเทกรัตตะ ผู้มีราตรีเดียวเจริญ  เพราะประพฤติเช่นไร ?

.
พระเถระรูปใดได้รับยกย่องว่าเป็นผู้เข้าใจอธิบายเรื่อง ผู้มีราตรีเดียวเจริญ  นี้ให้พิสดาร ?

.
.
เพราะเป็นผู้มีความเพียร ไม่เกียจคร้านทั้งกลางวันกลางคืน อยู่ด้วยความไม่ประมาท ฯ

.
พระมหากัจจายนเถระ ฯ
.
.
ปัญหาว่า  หมู่มนุษย์ในโลกนี้ คือ ฤษี กษัตริย์ พราหมณ์ เป็นอันมาก อาศัยอะไร จึงบูชายัญบวงสรวงเทวดา ใครเป็นผู้ถาม ?

.
พระศาสดาทรงพยากรณ์ว่าอย่างไร ?
.
.
ปุณณกมาณพ ฯ

.
ทรงพยากรณ์ว่า  หมู่มนุษย์เหล่านั้นอยากได้ของที่ตนปรารถนา  อาศัยของที่มีชราทรุดโทรม  จึงบูชายัญบวงสรวงเทวดา  
๑๐.
๑๐.
พระพุทธดำรัสว่า  ดูก่อนสุภัททะ  ถ้าภิกษุทั้งหลายเหล่านี้ จะพึงอยู่ดีอยู่ชอบแล้วไซร้  โลกก็จกไม่พึงว่างเปล่าจากพระอรหันต์ทั้งหลาย  ดังนี้ 
คำว่า  พระอรหันต์   ในที่นี้ หมายถึงใคร ?

๑๐.
โทณพราหมณ์ ได้กล่าวสุนทรพจน์ในวันแจกพระบรมสารีริกธาตุ มีใจความย่ออย่างไร ?
๑๐.
๑๐.
หมายถึง  พระขีณาสวอรหันต์ ฯ   

๑๐.
มีใจความย่อดังนี้
    ) พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญขันติธรรมและตำหนิในการที่จะทำ
        สงครามกัน
    ) ชวนให้สามัคคีร่วมใจกัน โดยแบ่งส่วนพระบรมสารีริกธาตุเท่า ๆ กัน ฯ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น