วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

วิชาธรรม นักธรรมชั้นเอก 2548


ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม  นักธรรมชั้นเอก
สอบในสนามหลวง
วันเสาร์ ที่  ๑๙  พฤศจิกายน พ.. ๒๕๔๘

   .  การสำรวมจิตให้พ้นจากบ่วงแห่งมาร ในธรรมวิจารณ์ท่านแนะนำวิธีปฏิบัติไว้
        อย่างไร ?  และถ้าจะจัดเข้าในไตรสิกขา จัดได้อย่างไร ?
   ๑.  แนะนำวิธีปฏิบัติไว้ ๓ ประการ คือ
             . สำรวมอินทรีย์มิให้ความยินดีครอบงำ ในเมื่อเห็นรูป ฟังเสียง ดมกลิ่น
                 ลิ้มรส ถูกต้องโผฏฐัพพะ อันน่าปรารถนา
             . มนสิการกัมมัฏฐานอันเป็นปฏิปักษ์ต่อกามฉันทะ คือ อสุภะและกายคตาสติ
                 หรืออันยังจิตให้สลด คือมรณัสสติ
             . เจริญวิปัสสนา คือ พิจารณาสังขารแยกออกเป็นขันธ์ สันนิษฐานเห็น
                 เป็นสภาพไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ฯ
        จัดเข้าในไตรสิกขาได้ดังนี้ 
             ประการที่ ๑ จัดเข้าในสีลสิกขา  
             ประการที่ ๒ จัดเข้าในจิตตสิกขา  
             ประการที่ ๓ จัดเข้าในปัญญาสิกขา ฯ
   .  อนิจจตาแห่งสังขารทั้งหลาย  จะกำหนดรู้ได้ด้วยวิธีใดบ้าง ?
   ๒.        ๑.   กำหนดรู้ในทางง่าย ด้วยความเกิดขึ้นในเบื้องต้น และความสิ้นในเบื้องปลาย                                        ได้ในบาลีว่า
                         อนิจฺจา วต สงฺขารา        อุปฺปาทวยธมฺมิโน
                         อุปฺปชฺชิตฺวา นิรุชฺฌนฺติ
                         สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ มีความเกิดขึ้นและความเสื่อมสิ้น
                         เป็นธรรมดา เกิดขึ้นแล้วย่อมดับ
              ๒. กำหนดรู้ในทางละเอียดกว่านั้นด้วยความแปรในระหว่างเกิดและดับ
                 ได้ในบาลีว่า
                         อจฺเจนฺติ กาลา ตรยนฺติ รตฺติโย
                         วโยคุณา อนุปุพฺพํ ชหนฺติ
                         กาลย่อมล่วงไป ราตรีย่อมผ่านไป ชั้นแห่งวัยย่อมละลำดับไป
              ๓. กำหนดรู้ในทางสุขุม ด้วยความแปรแห่งสังขารในชั่วขณะหนึ่ง ๆ คือ ไม่คงที่
                 อยู่นานเพียงระยะกาลนิดเดียวก็แปรแล้ว ได้ในคาถาวิสุทธิมรรค ว่า
                         ชีวิตํ อตฺตภาโว จ           สุขทุกฺขา จ เกวลา
                         เอกจิตฺตสมา ยุตฺตา        ลหุโส วตฺตเต ขโณ
                         ชีวิต อัตภาพ และสุขทุกข์ ทั้งมวล ประกอบกัน เป็นธรรมเสมอ
                         ด้วยจิตดวงเดียว ขณะย่อมเป็นไปพลัน ฯ
   .  สภาวทุกข์และปกิณณกทุกข์ คือทุกข์เช่นไร ?
   ๓.  สภาวทุกข์ คือทุกข์ประจำสังขาร ได้แก่ ชาติ ชรา มรณะ ฯ 
        ปกิณณกทุกข์ คือ ทุกข์จรได้แก่ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาส ฯ
   ๔.  พระพุทธพจน์ว่า  นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ  สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี จะไม่เป็น
        การปฏิเสธสุขอย่างอื่นไปทั้งหมดหรือ ?  จงอธิบาย
   .  ไม่เป็นการปฏิเสธเสียทีเดียว เช่นทรงแสดงถึงสุขของคฤหัสถ์ ๔ อย่างไว้เป็นต้น 
        แต่สุขอย่างอื่นนั้นยังเจือไปด้วยทุกข์อยู่  ยังไม่ใช่สุข ไม่อาจจะนับว่าเป็นสุข
        ที่แท้จริงได้ มีแต่ความสงบเท่านั้นที่เป็นสุขอย่างแท้จริง เพราะไม่เจือไปด้วย
        ความทุกข์ ฉะนั้นสุขที่ยิ่งกว่าความสงบจึงไม่มี ฯ
   ๕.  สัตว์โลกตายแล้วมีคติเป็นอย่างไร ?  ปัจจุบันภพนั้น เกี่ยวเนื่องกับสัมปรายภพ
        อย่างไร ?
   ๕.  สัตว์โลกตายแล้วมีคติเป็น ๒ คือ ถ้าทำดี คือ ประพฤติสุจริตด้วยกาย วาจา ใจ
        ก็ไปสู่สุคติ ถ้าทำไม่ดี คือประพฤติทุจริตด้วยกาย วาจา ใจ ก็ไปสู่ทุคติ ฯ  จิตดีชั่ว
        ในปัจจุบัน ย่อมเป็นปัจจัยแห่งปฏิสนธิในสัมปรายภพ ภูมิและภพในภายภาคหน้า
        ขึ้นอยู่กับภูมิและภพชั้นของจิตในปัจจุบันนี้แหละ ดังมีหลักธรรมในอุเทศบาลี
        แสดงว่า เมื่อจิตเศร้าหมองแล้ว ทุคติเป็นอันต้องหวัง และว่าเมื่อจิตไม่เศร้าหมอง
        แล้ว สุคติเป็นอันหวังได้ ฯ
   ๖.  บุคคลผู้ถูกนิวรณ์ ๕ ครอบงำ พึงแก้ด้วยกัมมัฏฐานอะไรบ้าง ?
   ๖.  ถูกกามฉันทะครอบงำ พึงแก้ด้วยอสุภกัมมัฏฐานหรือกายคตาสติ
        ถูกพยาบาทครอบงำ พึงแก้ด้วยเมตตาพรหมวิหาร
        ถูกถีนมิทธะครอบงำ พึงแก้ด้วยอนุสสติกัมมัฏฐาน
        ถูกอุทธัจจกุกกุจจะครอบงำ พึงแก้ด้วยกสิณหรือมรณัสสติ
        ถูกวิจิกิจฉาครอบงำ พึงแก้ด้วยธาตุกัมมัฏฐานหรือวิปัสสนากัมมัฏฐาน ฯ
   ๗.  ผู้เจริญเมตตาพรหมวิหาร ท่านสอนให้แผ่ไปในตนก่อนนั้น มีความมุ่งหมายอย่างไร ?
   ๗.  มีความมุ่งหมายอย่างนี้ ให้ทำตนเป็นพยานว่า ตนนี้อยากได้แต่ความสุข เกลียดชัง
        ทุกข์และภัยต่าง ๆ ฉันใด  แม้สัตว์ทั้งหลาย ก็อยากได้สุข เกลียดชังทุกข์และภัย
        ต่าง ๆ ฉันนั้น เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว จิตก็ปรารถนาจะให้สัตว์ทั้งสิ้น มีความสุข
        ความเจริญ ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงให้แผ่เมตตาจิตไปในตนก่อน ฯ
   ๘.  พระพุทธคุณบทว่า  สตฺถา เทวมนุสฺสานํ  เมื่อกล่าวถึงพุทธจรรยาในส่วน
        ที่ทรงสั่งสอนมหาชน ประมวลลงเป็นข้อได้อย่างไรบ้าง ?
   ๘.  ประมวลลงได้อย่างนี้
              ๑. ทรงพระกรุณาหวังจะให้ผู้ที่ทรงสั่งสอน ได้ความรู้อันจะให้สำเร็จประโยชน์
              ๒. ทรงมุ่งความจริงกับประโยชน์เป็นที่ตั้ง
              ๓. ทรงทำกับตรัสเป็นอย่างเดียวกัน
              ๔. ทรงฉลาดในวิธีสั่งสอน ฯ
   ๙.  ในธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน พระพุทธองค์ทรงแสดงวิธีพิจารณาสติสัมโพชฌงค์ไว้
        ด้วยอาการอย่างไร ?
   ๙.  ด้วยอาการอย่างนี้ คือ เมื่อสติสัมโพชฌงค์  มีอยู่ ณ ภายในจิต ก็รู้ชัดว่ามีอยู่
        ณ ภายในจิตของเรา  เมื่อไม่มีอยู่ ณ ภายในจิต ก็รู้ชัดว่าไม่มีอยู่ ณ ภายในจิต
        ของเรา เมื่อยังไม่เกิด แต่จะเกิดขึ้นด้วยประการใด ก็รู้ชัดด้วยประการนั้น 
        เมื่อเกิดขึ้นแล้วเจริญบริบูรณ์ขึ้นด้วยประการใด ก็รู้ชัดด้วยประการนั้น ฯ
๑๐.  ข้อว่า อนัตตสัญญา ในคิริมานนทสูตร ทรงให้ยกธรรมอะไรขึ้นพิจารณาว่าเป็น
        อนัตตา ?
๑๐.  ทรงให้ยกอายตนะภายใน คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และอายตนะภายนอก
        คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ขึ้นพิจารณาว่าเป็นอนัตตา ฯ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น