ปัญหาและเฉลยพุทธานุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นเอก
สอบในสนามหลวง พ.ศ.
๒๕๔๓
วันศุกร์ ที่ ๑๗
พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๓
------------------------------
๑.
|
๑.๑
|
ลักษณะทั้ง ๒
ที่พระพุทธองค์ทรงเห็นในมัชฌิมยามแห่งราตรีตรัสรู้คือ อะไรบ้าง ?
|
|
|
๑.๒
|
พระอุทานที่พระพุทธองค์ทรงเปล่งในปัจฉิมยามมีความว่าอย่างไร
?
|
|
๑.
|
๑.๑
|
คือ
๑) ปัจจัตตลักษณะ
ได้แก่การกำหนดโดยความเป็นกอง
๒) สามัญลักษณะ ได้แก่การกำหนดโดยความเป็นสภาพเสมอกัน
คือ ความเป็นของไม่เที่ยง
|
|
|
๑.๒
|
มีความว่า
เมื่อใดธรรมทั้งหลายปรากฏชัดแก่พราหมณ์ผู้มีเพียรเพ่งอยู่
พราหมณ์นั้นย่อมกำจัดเสนามาร คือ ชรา พยาธิ มรณะเสียได้
ดุจพระอาทิตย์อุทัยขึ้นกำจัดมืด ทำอากาศให้สว่างฉะนั้น
|
|
๒.
|
๒.๑
|
ที่สุดโต่งอันบรรพชิตไม่ควรเสพนั้นคืออะไรบ้าง
?
|
|
|
๒.๒
|
ที่สุดโต่งนั้นมีโทษอย่างไร
?
|
|
๒.
|
๒.๑
|
คือ
๑) กามสุขัลลิกานุโยค
๒) อัตตกิลมถานุโยค
|
|
|
๒.๒
|
มีโทษดังนี้
|
|
|
|
กามสุขัลลิกานุโยค
คือการประกอบตนให้พัวพันด้วยสุขในกาม เป็นธรรมอันเลว เป็นเหตุตั้งบ้านเรือน เป็นของคนมีกิเลสหนา
ไม่ใช่ของคนอริยะคือ ผู้บริสุทธิ์
ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
|
|
|
|
อัตตกิลมถานุโยค
คือการประกอบความเหน็ดเหนื่อยแก่ตนเปล่า ให้เกิดทุกข์แก่ผู้ประกอบ
ไม่ทำผู้ประกอบให้เป็นอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
|
|
๓.
|
๓.๑
|
พระอัครสาวก
๒ รูปมีชื่อเรียกอะไรบ้าง ? เหตุไรจึงเรียกอย่างนั้น
?
|
|
|
๓.๒
|
พระอัสสชิแสดงธรรมแก่อุปติสสปริพาชกมีความว่าอย่างไร ?
และมีผล อย่างไร?
|
|
๓.
|
๓.๑
|
มีชื่อเรียก อุปติสสะ หรือสารีบุตร ๑ เรียก โกลิตะ หรือ โมคคัลลานะ ๑ ที่เรียกว่า อุปติสสะ เพราะเรียกตามโคตร
ที่เรียกว่า สารีบุตร เพราะเป็นบุตรของ นางสารีพราหมณี ส่วนที่เรียกว่า โกลิตะ เพราะเรียกตามโคตร
ที่เรียกว่า โมคคัลลานะ
เพราะเป็นบุตรของนางโมคคัลลานีพราหมณี
|
|
|
๓.๒
|
มีความว่า
ธรรมใดเกิดแต่เหตุ พระศาสดาทรงแสดงเหตุของธรรมนั้นและความดับแห่งธรรมนั้น
พระศาสดาทรงสอนอย่างนี้ มีผล คือ อุปติสสปริพาชกได้ดวงตาเห็นธรรมว่า สิ่งใด สิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับเป็นธรรมดา
|
|
๔.
|
๔.๑
|
พระมหากัสสปเถระประพฤติธุดงควัตรเพราะเห็นอำนาจประโยชน์ อย่างไร ?
|
|
|
๔.๒
|
เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ท่านเป็นกำลังสำคัญแก่พระพุทธศาสนา อย่างไร ?
|
|
๔.
|
๔.๑
|
เพราะเห็นอำนาจประโยชน์
๒ อย่างคือ
๑) การอยู่เป็นสุขในบัดนี้ของตน
๒) เพื่ออนุเคราะห์ประชุมชนในภายหลัง
จะได้เป็นทิฏฐานุคติแห่ง
คนผู้มาเกิดในภายหลัง เมื่อทราบว่า
สาวกของพระพุทธเจ้าได้
ประพฤติอย่างนี้
เขาจะได้ประพฤติตาม ซึ่งเป็นทางอำนวยสุขแก่
เขาเอง
|
|
|
๔.๒
|
ท่านได้เป็นประธานทำสังคายนาเป็นครั้งแรก
|
|
๕.
|
๕.๑
|
คำว่า “ภทฺเทกรตฺโต” ผู้มีราตรีเดียวอันเจริญ
คือการปฏิบัติอย่างไร ?
|
|
|
๕.๒
|
พระสาวกรูปใดได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ฉลาดอธิบายความย่อให้พิสดาร
?
|
|
๕.
|
๕.๑
|
คือการปฏิบัติอย่างนี้
คือ เป็นผู้มีความเพียร ไม่เกียจคร้านทั้งกลางวันและกลางคืน
อยู่ด้วยความไม่ประมาท
|
|
|
๕.๒
|
พระมหากัจจายนะ
|
|
๖.
|
๖.๑
|
ปัญหาว่า “พระขีณาสพตายแล้วเป็นอะไร” ใครถามใคร ? มีคำตอบอย่างไร ?
|
|
|
๖.๒
|
พระศาสดาทรงพยากรณ์ปัญหาจบลงแล้ว
มีผลอะไรเกิดแก่มาณพ
๑๖ คน ?
|
|
๖.
|
๖.๑
|
พระสารีบุตรถามพระยมกะ
มีคำตอบว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณที่ไม่เที่ยง ดับไปแล้ว
|
|
|
๖.๒
|
มีผลคือ
มาณพ ๑๕ คน เว้นปิงคิยมาณพ ส่งใจไปตามธรรมเทศนา มีจิตพ้นจากอาสวะไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน
ส่วนปิงคิยมาณพเป็นแต่ได้ญาณเห็นในธรรม
|
|
๗.
|
๗.๑
|
พระปุณณมันตานีบุตรเป็นชาวเมืองไหน
? ตั้งอยู่ในคุณธรรมอะไรบ้าง ?
|
|
|
๗.๒
|
ใครถามว่า “ท่านประพฤติพรหมจรรย์เพื่ออะไร” ? ใครตอบ ? ตอบว่า
อย่างไร ?
|
|
๗.
|
๗.๑
|
เป็นชาวเมืองกบิลพัสดุ์
ตั้งอยู่ในคุณธรรม ๑๐ ประการ คือ มักน้อย สันโดษ ชอบสงัด ไม่ชอบเกี่ยวข้องด้วยหมู่
ปรารภความเพียร บริบูรณ์ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ ความรู้เห็นในวิมุตติ
|
|
|
๗.๒
|
พระสารีบุตรเป็นผู้ถาม
พระปุณณมันตานีบุตรเป็นผู้ตอบ และตอบว่า เราประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อความดับไม่มีเชื้อ
|
|
๘.
|
๘.๑
|
เพราะเห็นอานิสงส์อะไร
พระอานนท์จึงทูลขอพรข้อที่ ๘ ?
|
|
|
๘.๒
|
พระอุบาลีออกบวชพร้อมใครบ้าง
? ที่ไหน ? ท่านได้รับเอตทัคคะ
ทางไหน ?
|
|
๘.
|
๘.๑
|
เพราะเห็นอานิสงส์ว่าหากมีผู้มาถามว่า
ธรรมนี้พระพุทธองค์ทรงแสดงในที่ใด ? ถ้าท่านตอบไม่ได้ เขาจะพูดได้ว่า ท่านตามเสด็จพระศาสดาตลอดกาลนาน ไม่รู้แม้แต่เรื่องเท่านี้
|
|
|
๘.๒
|
พระอุบาลีออกบวชพร้อมกับ
พระภัททิยะ พระอนุรุทธะ พระอานันทะ พระภัคคุ
พระกิมพิละ พระเทวทัต ที่อนุปิยนิคม
ได้รับเอตทัคคะทางเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้ทรงวินัย
|
|
๙.
|
จงอธิบายข้อความต่อไปนี้
|
|
|
|
๙.๑
|
ทรงทำอายุสังขาราธิฏฐาน ๙.๒ ทรงปลงอายุสังขาร
|
|
๙.
|
๙.๑
|
ทรงทำอายุสังขาราธิฏฐาน
หมายถึง ทรงตั้งพระหฤทัยจักอยู่แสดงธรรม
สั่งสอนแก่มหาชน และตั้งพุทธปณิธานใคร่จะดำรงพระชนม์อยู่ จนกว่า
พุทธบริษัทจะตั้งมั่นและได้ประกาศพระศาสนาให้แพร่หลาย
ประดิษฐานให้มั่นคงถาวรสำเร็จประโยชน์แก่นิกรทุกหมู่เหล่า
|
|
|
๙.๒
|
ทรงปลงอายุสังขาร
หมายถึง ทรงกำหนดวันปรินิพพานนับแต่วันเพ็ญเดือน ๓ ไปอีก ๓ เดือน
คือปลงพระทัยว่าจะบำเพ็ญพุทธกิจต่อไปอีกไม่ได้แล้ว
|
|
๑๐.
|
๑๐.๑
|
เมื่อรวมเจดีย์ซึ่งแสดงไว้ในบาลี
อรรถกถา และฎีกา มีเท่าไร ? อะไรบ้าง ?
|
|
|
๑๐.๒
|
อันตรธาน ๕
อย่าง อย่างไหนสำคัญกว่า ? เพราะเหตุไร
|
|
๑๐.
|
๑๐.๑
|
มี ๔ คือ
ธาตุเจดีย์ ๑ บริโภคเจดีย์ ๑ ธรรมเจดีย์
๑ อุทเทสิกเจดีย์ ๑
|
|
|
๑๐.๒
|
ปริยัติอันตรธานสำคัญกว่า
เพราะปริยัติเสื่อมลงในกาลใด พระศาสนาย่อมเสื่อมถอยในกาลนั้น
เมื่อปริยัติยังดำรงอยู่ตราบใด พระศาสนาก็ยังดำรงอยู่ตราบนั้น
เพราะว่าปริยัติเป็นรากแก้วของพระศาสนา ปฏิบัติเป็นแก่น ปฏิเวธ เป็นผล
เมื่อรากแก้วขาดแล้ว แก่นและผลก็พลอยหมดไปตามกัน
|
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น