ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท
สอบในสนามหลวง
วันเสาร์ ที่ ๑๖
ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๙
๑. อนุพุทธบุคคล คือใคร ? ท่านเหล่านั้นมีความสำคัญต่อพระศาสดา
อย่างไร
?
๑. คือ สาวกผู้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้า ฯ
มีความสำคัญอย่างนี้
แม้พระศาสดาได้ตรัสรู้และทรงแสดงธรรม แต่เมื่อ
ขาดผู้รู้ธรรมและรับปฏิบัติ ความตรัสรู้ของพระองค์ก็ไม่สำเร็จประโยชน์ ฯ
ขาดผู้รู้ธรรมและรับปฏิบัติ ความตรัสรู้ของพระองค์ก็ไม่สำเร็จประโยชน์ ฯ
๒. พระอัญญาโกณฑัญญะ ใคร่ครวญดูตามประวัติ ความเชื่อถือของท่าน
หนักไปทางไหน ในตำราทายลักษณะหรือในอัตตกิลมถานุโยคปฏิบัติ ?
ขอฟังเหตุผล
หนักไปทางไหน ในตำราทายลักษณะหรือในอัตตกิลมถานุโยคปฏิบัติ ?
ขอฟังเหตุผล
๒. เห็นว่าหนักไปในอัตตกิลมถานุโยคปฏิบัติ
เหตุผลคือ เดิมท่านเชื่อตำรา
แน่ใจ จึงบวชตามและเฝ้าอุปัฏฐาก ครั้นเห็นทรงเลิกทุกรกิริยา ก็สิ้นหวัง
นี่ก็เพราะเชื่อมั่นในอัตตกิลมถานุโยคปฏิบัติว่า เลิกเสียเป็นอันไม่สำเร็จ
เมื่อพระองค์ตรัสบอกว่า สำเร็จแล้ว ก็คัดค้านไม่เชื่อถือ อาการที่คัดค้าน
และพูดถ้อยคำที่แสดงอคารวะนั้น เป็นเครื่องยืนยันความเห็นดังกล่าว ฯ
แน่ใจ จึงบวชตามและเฝ้าอุปัฏฐาก ครั้นเห็นทรงเลิกทุกรกิริยา ก็สิ้นหวัง
นี่ก็เพราะเชื่อมั่นในอัตตกิลมถานุโยคปฏิบัติว่า เลิกเสียเป็นอันไม่สำเร็จ
เมื่อพระองค์ตรัสบอกว่า สำเร็จแล้ว ก็คัดค้านไม่เชื่อถือ อาการที่คัดค้าน
และพูดถ้อยคำที่แสดงอคารวะนั้น เป็นเครื่องยืนยันความเห็นดังกล่าว ฯ
๓. พระยสะมีมารดาบิดาตั้งภูมิลำเนาอยู่ที่ไหน
? ออกบวชเพราะเหตุไร
?
๓. อยู่ที่เมืองพาราณสี ใกล้ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ฯ
เพราะมีความเบื่อหน่ายในการครองฆราวาส
เนื่องจากได้เห็นอาการของ
พวกชนบริวารอันวิปริตไปโดยอาการต่างๆ ไม่เป็นที่ตั้งแห่งการยังจิตให้
เพลิดเพลิน จึงได้เดินออกจากเรือนไปพบพระพุทธองค์ได้ฟังพระธรรมเทศนา
จนบรรลุเป็นพระอรหันต์ จึงได้ออกบวช ฯ
พวกชนบริวารอันวิปริตไปโดยอาการต่างๆ ไม่เป็นที่ตั้งแห่งการยังจิตให้
เพลิดเพลิน จึงได้เดินออกจากเรือนไปพบพระพุทธองค์ได้ฟังพระธรรมเทศนา
จนบรรลุเป็นพระอรหันต์ จึงได้ออกบวช ฯ
๔. ความเป็นผู้มีบริวารมาก เป็นผลมาจากอะไร ? และดีอย่างไร ?
พระสาวกองค์ใดได้รับการยกย่องว่าเลิศในทางนี้
?
๔. เป็นผลมาจากความรู้จักเอาใจบริษัท รู้จักสงเคราะห์ด้วยอามิสบ้าง
ด้วยธรรมบ้าง ฯ
ด้วยธรรมบ้าง ฯ
ดีอย่างนี้คือ
ภิกษุผู้ประกอบด้วยคุณสมบัติเห็นปานนี้ ย่อมเป็นผู้อัน
บริษัทรักใคร่นับถือ สามารถควบคุมบริษัทไว้อยู่ เป็นผู้อันจะพึงปรารถนา
ในสาวกมณฑล ฯ
บริษัทรักใคร่นับถือ สามารถควบคุมบริษัทไว้อยู่ เป็นผู้อันจะพึงปรารถนา
ในสาวกมณฑล ฯ
พระอุรุเวลกัสสปะ ฯ
๕. เมื่อเอ่ยถึง พระสารีบุตร ทำให้นึกถึงพระสาวกอีกองค์หนึ่ง
คือใคร ?
ท่านได้บรรลุพระอรหัตและนิพพานที่ไหน ? ก่อนหรือหลังพระสารีบุตร
กี่วัน ?
ท่านได้บรรลุพระอรหัตและนิพพานที่ไหน ? ก่อนหรือหลังพระสารีบุตร
กี่วัน ?
๕. คือพระโมคคัลลานะ ฯ
ท่านได้บรรลุพระอรหัตที่บ้านกัลลวาลมุตตคาม
แขวงมคธ ก่อนพระ
สารีบุตร ๘ วัน และนิพพานที่ตำบลกาฬศิลา แขวงมคธ หลังพระสารีบุตร
๑๕ วัน ฯ
สารีบุตร ๘ วัน และนิพพานที่ตำบลกาฬศิลา แขวงมคธ หลังพระสารีบุตร
๑๕ วัน ฯ
๖. พระสาวกผู้ปรารภเหตุว่า “ผู้อยู่ครองเรือนต้องคอยนั่งรับบาป เพราะ
การงานที่ผู้อื่นทำไม่ดี” แล้วมีใจเบื่อหน่ายสละทรัพย์สมบัติออกบวช
คือใคร ? ท่านได้รับยกย่องจากพระศาสดาว่า เป็นผู้เลิศในทางไหน ?
เพราะเหตุใด ?
การงานที่ผู้อื่นทำไม่ดี” แล้วมีใจเบื่อหน่ายสละทรัพย์สมบัติออกบวช
คือใคร ? ท่านได้รับยกย่องจากพระศาสดาว่า เป็นผู้เลิศในทางไหน ?
เพราะเหตุใด ?
๖. คือ พระมหากัสสปะ ฯ
ท่านได้รับยกย่องจากพระศาสดาว่า
เป็นผู้เลิศในทางถือธุดงค์ เพราะ
ท่านถือธุดงค์ ๓ อย่างเป็นประจำ คือ ทรงผ้าบังสุกุลจีวรเป็นวัตร ๑
เที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ๑ อยู่ป่าเป็นวัตร ๑ ฯ
ท่านถือธุดงค์ ๓ อย่างเป็นประจำ คือ ทรงผ้าบังสุกุลจีวรเป็นวัตร ๑
เที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ๑ อยู่ป่าเป็นวัตร ๑ ฯ
๗. พระสาวก ผู้อธิบายภัทเทกรัตตสูตรที่ทรงแสดงโดยย่อให้พิสดาร
คือ
ใคร ? ท่านได้รับการสรรเสริญจากพระศาสดาว่าอย่างไร ?
ใคร ? ท่านได้รับการสรรเสริญจากพระศาสดาว่าอย่างไร ?
๗. คือ พระมหากัจจายนะ ฯ
ท่านได้รับสรรเสริญจากพระศาสดาว่า
เป็นผู้ฉลาดในการอธิบายคำที่ย่อ
ให้พิสดาร ฯ
ให้พิสดาร ฯ
ศาสนพิธี
๘. ศาสนพิธี คืออะไร ?
การศึกษาศาสนพิธีให้เข้าใจ
มีประโยชน์อย่างไร ?
๘. คือ พิธีทางศาสนา ฯ
มีประโยชน์คือ
๑.
ทำให้เข้าใจเรื่องของศาสนพิธีได้โดยถูกต้อง
๒.
ให้เห็นเป็นเรื่องสำคัญไม่ไร้สาระ
๓.
ทำให้ปฏิบัติได้ถูกต้อง ไม่ผิดเพี้ยนจากขนบธรรมเนียมประเพณี
ฯ
๙. การทำวัตร คืออะไร ? ทำวัตรสวดมนต์ เพื่อความมุ่งหมายใด ?
๙. คือ
การทำกิจวัตรของภิกษุสามเณรและอุบาสกอุบาสิกา เป็นการทำกิจ ที่ต้องทำประจำจนเป็นวัตร-ปฏิบัติ
เรียกสั้นๆ ว่า ทำวัตร ฯ
ความมุ่งหมายของการทำวัตรสวดมนต์นี้
บัณฑิตถือว่าเป็นอุบายสงบจิต
ไม่ให้คิดวุ่นวายตามอารมณ์ได้ชั่วขณะที่ทำ เมื่อทำประจำวันละ ๒ เวลา
ทั้งเช้าเย็นครั้งละครึ่งชั่วโมง หรือ ๑ ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย ก็เท่ากับได้
ใช้เวลาสงบจิตได้วันละไม่ต่ำกว่า ๑ ใน ๒๔ ชั่วโมง ฯ
ไม่ให้คิดวุ่นวายตามอารมณ์ได้ชั่วขณะที่ทำ เมื่อทำประจำวันละ ๒ เวลา
ทั้งเช้าเย็นครั้งละครึ่งชั่วโมง หรือ ๑ ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย ก็เท่ากับได้
ใช้เวลาสงบจิตได้วันละไม่ต่ำกว่า ๑ ใน ๒๔ ชั่วโมง ฯ
๑๐. ในวันอุโบสถ พระธรรมกถึกให้ศีล ๘
เป็นอุโบสถศีล แต่มีผู้ศรัทธาจะ
รักษาเพียงศีล ๕ เท่านั้น พึงปฏิบัติอย่างไร ?
รักษาเพียงศีล ๕ เท่านั้น พึงปฏิบัติอย่างไร ?
๑๐. พึงปฏิบัติอย่างนี้ สมาทานเพียง ๕
ข้อ ในระหว่างข้อที่ ๓ ซึ่ง
พระธรรมกถึกให้ด้วยบทว่า อพฺรหฺมจริยา ... พึงรับสมาทานว่า กาเมสุ
มิจฺฉาจารา... และรับต่อไปจนครบ ๕ ข้อเมื่อครบแล้วก็กราบ ๓ ครั้ง
ลดลงนั่งราบไม่ต้องรับต่อไป ฯ
พระธรรมกถึกให้ด้วยบทว่า อพฺรหฺมจริยา ... พึงรับสมาทานว่า กาเมสุ
มิจฺฉาจารา... และรับต่อไปจนครบ ๕ ข้อเมื่อครบแล้วก็กราบ ๓ ครั้ง
ลดลงนั่งราบไม่ต้องรับต่อไป ฯ
*********
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น